วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทบัญญัติเกี่ยวกับการคลุมหน้าและหลักฐานอย่างละเอียด

การคลุมหน้าของมุสลิมะฮฺ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ การคลุมหิญาบของมุสลิมะฮฺต่อหน้าชายที่ไม่ใช่มะหฺร็อมและการปกปิดใบหน้าของพวกนางนั้นเป็นข้อบังคับที่ระบุในคัมภีร์ของอัลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านนบี
1.หลักฐานจากอัลกรุอาน
หลักฐานที่ หนึ่ง

يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا وَلْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَى جُيُوبِهِنَّ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا لِبُعُولَتِهِنَّ أَوْ آبَائِهِنَّ أَوْ آبَاء بُعُولَتِهِنَّ أَوْ أَبْنَائِهِنَّ أَوْ أَبْنَاء بُعُولَتِهِنَّ أَوْ إِخْوَانِهِنَّ أَوْ بَنِي إِخْوَانِهِنَّ أَوْ بَنِي أَخَوَاتِهِنَّ أَوْ نِسَائِهِنَّ أَوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُنَّ أَوِ التَّابِعِينَ غَيْرِ أُوْلِي الْإِرْبَةِ مِنَ الرِّجَالِ أَوِ الطِّفْلِ الَّذِينَ لَمْ يَظْهَرُوا عَلَى عَوْرَاتِ النِّسَاء وَلَا يَضْرِبْنَ بِأَرْجُلِهِنَّ لِيُعْلَمَ مَا يُخْفِينَ مِن زِينَتِهِنَّ وَتُوبُوا إِلَى اللهِ جَمِيعاً أَيُّهَا الْمُؤْمِنُونَ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ﴾ (النور : 31 )
ความว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุมินะฮฺ (ผู้ศรัทธาหญิง) ให้พวกนางลดสายตาของพวกนางลงต่ำ (จากการมองสิ่งต้องห้าม) และให้พวกนางรักษาทวาร (อวัยวะเพศ) ของพวกนาง (จากการประพฤติผิดทางเพศ) และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ (เช่น ตาข้างหนึ่งหรือสองข้างเพื่อใช้มอง เสื้อคลุมข้างนอก ถุงมือ) และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของพวกนางลงมาจนถึงญุยูบิฮินนะ (ร่างกาย ใบหน้า คอ และหน้าอกของพวกนาง) และอย่าให้พวกนางเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่แก่สามีของพวกนาง หรือบิดาของพวกนาง หรือบิดาของสามีของพวกนาง หรือลูกชายของพวกนาง หรือลูกชายของสามีของพวกนาง หรือพี่ชายน้องชายของพวกนาง หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกนาง หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกนาง หรือพวกผู้หญิง (มุสลิมะฮฺ) ของพวกนาง หรือที่มือขวาของพวกนางครอบครอง (ทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้นางกระทืบเท้าของพวกนาง เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกนางควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกนาง และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ” [อันนูร 24:31]
หลักฐานจากอายะฮฺนี้แสดงให้เห็นว่าหิญาบเป็บข้อบังคับสำหรับมุสลิมะฮฺ ดังต่อไปนี้
1.อัลลอฮฺทรงสั่งใช้ให้สตรีผู้ศรัทธาปกป้องความบริสุทธิ์ของพวกนางและคำสั่งใช้นี้เป็นการสั่งให้ปฏิบัติทุกสิ่งที่อยู่ในแนวทางดังกล่าว ผู้ที่มีเหตุผลจะไม่สงสัยเลยว่าการปฏิบัติสิ่งที่ปกป้องความบริสุทธิ์คือการคลุมหน้า เพราะการไม่คลุมหน้าเป็นสาเหตุให้คนมองและพึงพอใจกับความสวยของใบหน้าแล้วนำสู่การติดต่อกัน ท่านร่อซูล กล่าวว่า “ดวงตาทำซินา และซินาของมันคือการมอง” จากนั้นท่านกล่าวว่า “และอวัยวะเพศ (ของชายและหญิง) เป็นเคริ่องยืนยันความเป็นจริงหรือโกหก” (บันทึกโดย อัลบุคอรี, 6612; มุสลิม, 2657)
ดังนั้น หากการคลุมหน้าเป็นวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งการปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเองวิธีหนึ่ง มันก็ย่อมเป็นคำสั่งให้ปฏิบัติ เพราะตามหลักการศาสนานั้น กฎของวิธีการคือกฎของเป้าหมาย
2.อัลลอฮฺตรัสความว่า “...และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของพวกนางลงมาถึงญุยูบิฮินนะ...” ญัยบฺ -جيب (พหูพจน์คือ ญุยูบ - جيوب) คือ เสื้อผ้าที่เปิดคอ และคิมาร - خمار คือ สิ่งที่ผู้หญิงใช้คลุมศีรษะ หากมุสลิมะฮฺถูกสั่งใช้ให้ปกปิดเสื้อผ้าที่เปิดคอ ดังนั้นนางย่อมถูกสั่งใช้ให้ปิดใบหน้าไม่ว่าจะโดยนัยยะแฝงหรือโดยการเปรียบเทียบ หากมีคำสั่งใช้ให้ปกปิดลำคอและหน้าอกแล้ว การที่จะคลุมหน้าก็สมควรจะปฏิบัติมากกว่าเพราะใบหน้าเป็นจุดสวยงามและน่าดึงดูด
3.อัลลอฮฺทรงห้ามเปิดเผยเครื่องประดับทุกชนิดยกเว้นสิ่งที่ปรากฏภายนอก ซึ่งมิได้มีเจตนาโอ้อวด เช่น ด้านนอกของเสื้อผ้า แท้จริงอัลลอฮฺตรัสว่า “ยกเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้” พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า “ยกเว้นสิ่งที่ผู้หนึ่งเปิดเผยมัน” ชาวสะลัฟบางคน เช่น อิบนุมัสอูด อัลหะซัน อิบนุซีรีน และคนอื่นๆ ตีความหมายของประโยค “ยกเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้” ว่าหมายถึงภายนอกของเสื้อผ้าและสิ่งที่ล้ำจากเสื้อผ้าภายนอก (เช่น ชายกระโปรงที่สวมข้างใน) และอัลลอฮฺทรงห้ามอีกครั้งในการเปิดเผยเครื่องประดับ (ในท้ายอายะฮฺ) ยกเว้นต่อบุคคลที่พระองค์ทรงยกเว้น เครื่องประดับในครั้งที่สองนี้อ้างถึงสิ่งที่นอกเหนือจากเครื่องประดับในครั้งแรก เครื่องประดับแรกคือเครื่องประดับภายนอกที่ปรากฏแก่ทุกคนซึ่งไม่สามารถปกปิดได้ ส่วนเครื่องประดับที่สองคือเครื่องประดับภายใน (รวมถึงใบหน้า) ถ้าหากเครื่องประดับที่สองเป็นสิ่งที่ยอมให้มองได้สำหรับทุกคน ก็ไม่มีเหตุผลที่ใช้คำทั่วไปในครั้งแรกและยกเว้นอีกครั้งในครั้งที่สอง
4.อัลลอฮฺทรงอนุญาตให้มุสลิมะฮฺเปิดเผยเครื่องประดับภายในของพวกนางแก่ “คนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ” เช่น คนใช้ผู้ชายที่ไม่ปรารถนาเรื่องเพศ และเด็กเล็กที่ยังไม่บรรลุวัยที่จะมีความปรารถนาเรื่องเพศและยังไม่เคยเห็นเอาเราะฮฺของสตรี สิ่งดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า
**ไม่อนุญาตให้เปิดเผยเครื่องประดับภายในแก่ชายที่ไม่ใช่มะหฺร็อม ยกเว้นบุคคลสองประเภทที่กล่าวไปแล้ว
**เหตุผลสำหรับบทบัญญัตินี้คือเกรงว่าผู้ชายจะถูกยั่วยวนโดยสตรีและตกหลุมรักนาง ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าใบหน้าคือสิ่งที่สวยงามและดึงดูดใจ ดังนั้นการคลุมหน้าจึงเป็นข้อบังคับเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชายเกิดความรู้สึกว่าถูกดึงดูดและยั่วยวนจากสตรี
5.จากดำรัสความว่า “อย่าให้นางกระทืบเท้าของพวกนาง เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกนางควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกนาง” หมายความว่ามุสลิมะฮฺต้องไม่กระทืบเท้าเพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงเครื่องประดับที่ถูกปกปิดอยู่ภายใต้เสื้อผ้า เช่น กำไลเท้าและสิ่งอื่นๆ เมื่อมุสลิมะฮฺถูกห้ามไม่ให้กระทืบเท้าเพื่อไม่ให้ผู้ชายคิดว่าถูกยั่วยวนด้วยเสียงกำไลข้อเท้าแล้ว เหตุใดจึงไม่คลุมหน้าซึ่งยั่วยวนมากกว่า ?
สิ่งใดเป็นการดึงดูดมากกว่ากัน ระหว่างการที่ผู้ชายได้ยินเสียงกำไลข้อเท้าของสตรีที่เขาไม่รู้ว่านางสวยหรือไม่สวย สาวหรือชรา น่าเกลียดหรือน่ารัก กับการที่เขามองใบหน้าอันสวยงามและอ่อนเยาว์ซึ่งดึงดูดและเชิญชวนเขาให้มองมัน ผู้ชายทุกคนที่มีความปรารถนาในตัวสตรีจะรู้ว่าสิ่งไหนดึงดูดมากกว่าและสิ่งไหนสมควรถูกปกปิด
หลักฐานที่ สอง
جُنَاحٌ أَن يَضَعْنَ ثِيَابَهُنَّ غَيْرَ مُتَبَرِّجَاتٍ بِزِينَةٍ وَأَن يَسْتَعْفِفْنَ خَيْرٌ لَّهُنَّ وَاللهُ سَمِيعٌ عَلِيمٌ﴾ (النور : 60 )
ความว่า “และบรรดาหญิงวัยชราซึ่งพวกนางไม่ปรารถนาที่จะสมรสแล้ว ไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกนางที่จะเปลื้องเสื้อผ้า (ภายนอก) ของนางออก โดยไม่เปิดเผยส่วนงดงาม และหากพวกนางงดเว้นเสียก็จะเป็นการดีแก่พวกนาง และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้” [อันนูร 24:60]

หลักฐานจากอายะฮฺนี้ อัลลอฮฺทรงชี้ให้เห็นว่า ไม่มีบาปแก่หญิงชราที่ไม่ปรารถนาจะแต่งงาน เพราะผู้ชายไม่มีความปรารถนาต่อพวกนาง เนื่องจากความชราของนาง การเปลื้องเสื้อนอกของหญิงชรามีเงื่อนไขว่าต้องไม่มีเจตนาเปิดเผยเกินควร ความจริงที่ว่าหลักการนี้ใช้สำหรับหญิงชราเท่านั้น แสดงให้เห็นความแตกต่างต่อบทบัญญัติของหญิงสาวที่หวังจะแต่งงาน เพราะหากบัญญัติการเปลื้องเสื้อนอกอนุมัติแก่ทุกคน ก็ไม่จำเป็นต้องเจาะจงหญิงชราดังตัวบทนี้
สำหรับวลี “โดยไม่เปิดเผยส่วนงดงาม” เป็นการสนับสนุนว่าหิญาบเป็นข้อบังคับสำหรับหญิงสาวที่หวังจะแต่งงาน เพราะโดยทั่วไป การไม่ปกปิดใบหน้านั้นมีเจตนาเปิดเผยอย่างเกินควร (ตะบัรรุจ) เพื่อโอ้อวดความสวยงามและทำให้ผู้ชายมอง ชื่นชม และอื่นๆ สำหรับสตรีที่ไม่มีเจตนาอย่างนี้ถือว่าเกือบไม่มีเลย และกฎของสิ่งที่เกือบไม่มีนั้นก็เหมือนกับสิ่งที่ไม่มี หลักฐานที่ สาม
عَلَيْهِنَّ مِن جَلَابِيبِهِنَّ ذَلِكَ أَدْنَى أَن يُعْرَفْنَ فَلَا يُؤْذَيْنَ وَكَانَ اللهُ غَفُوراً رَّحِيماً﴾ (الأحزاب : 59 )
ความว่า “โอ้นบี (มุฮัมมัด) เอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภรรยาของเจ้าและบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง (ปกปิดเรือนร่างอย่างสมบูรณ์ ยกเว้นตาข้างหนึ่งหรือสองข้างเพื่อใช้มอง) นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก (ในสภาพหญิงอิสรชน) เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” [อัลอะหฺซาบ 33:59]
อิบนุ อับบาส กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงสั่งใช้สตรีผู้ศรัทธา เมื่อออกนอกบ้านด้วยความจำเป็น ให้ปกปิดใบหน้าของนางตั้งแต่จุดสูงสุดของศีรษะด้วยญิลบาบ และเปิดตาไว้ข้างหนึ่ง
ตัฟซีรของเศาะหาบะฮฺคือหลักฐาน อันที่จริงนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า มันอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เป็นรายงานมัรฟูอฺ ซึ่งอ้างอิงกลับไปยังท่านนบี (มีระดับเทียบเท่าหะดีษของท่านนบี - ผู้แปล)
สำหรับ “การเปิดตาไว้ข้างหนึ่ง” กระทำได้เพราะจำเป็นต้องมองทาง หากไม่จำเป็นต้องมองทางดวงตาไม่ควรถูกเปิดเผย
ญิลบาบ คือ เสื้อผ้าข้างนอกที่คลุมทับคิมาร (ผ้าคลุมศีรษะ) มีลักษณะคล้ายกับอะบายะฮฺ
หลักฐานที่สี่
إِخْوَانِهِنَّ وَلَا أَبْنَاء أَخَوَاتِهِنَّ وَلَا نِسَائِهِنَّ وَلَا مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُنَّ وَاتَّقِينَ اللهَ إِنَّ اللهَ كَانَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ شَهِيداً﴾ (الأحزاب : 55 )
ความว่า “ไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกนาง (บรรดาภรรยาของท่านนบี ที่จะไม่คลุมหิญาบ) ต่อหน้าบิดาของพวกนาง และลูกๆ ของพวกนาง และพี่น้องผู้ชายของพวกนาง และลูกชายของพี่น้องหญิงของพวกนาง และบรรดาผู้หญิง (มุสลิมะฮฺ) ของพวกนาง และที่มือขวาของพวกนางครอบครอง (ทาสี) และพวกนางจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง” [อัลอะหฺซาบ 33:55]

อิบนุ กะษีร رحمه الله กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงสั่งใช้ให้สตรีคลุมหิญาบเมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่ไม่ใช่มะหฺร็อม เขาอธิบายว่า สตรีไม่ต้องคลุมหิญาบเมื่ออยู่ต่อหน้าบรรดาญาติที่ระบุในอายะฮฺนี้ เช่นเดียวกับญาติที่อัลลอฮฺทรงระบุไว้ในซูเราะฮฺอันนูร อัลลอฮฺตรัสความว่า “เว้นแต่แก่สามีของพวกนาง...”

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มัสยิดในประเทศไทย

มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
1.มัสยิดกลางปัตตานี
มัสยิดกลางปัตตานีนับเป็นมัสยิดที่สวยงาม และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจ และศรัทธาและเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของผู้นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย มัสยิดแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาว่าได้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2497 เนื่องจากรัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวปัตตานีส่วนใหญ่นับถืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งมีชาวมุสลิมจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ จึงเห็นสมควรให้จัดสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ ไว้เพื่อเป็นศูนย์กลางแก่ชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามทั่วประเทศ

มัสยิดแห่งนี้ได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2506 ในสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สถาปัตยกรรมของมัสยิดกลางนั้น เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น ที่มีรูปทรงดูคล้ายกับทัชมาฮาลของอินเดียผสมกับวิหารแบบตะวันตก มีอาคารยอดโดมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางและมีโดมบริวารทั้ง 4 ทิศ มีหอคอยอยู่สองข้างสูงเด่น ซึ่งเดิมใช้เป็นหอกลางสำหรับตีส่งสัญญาณเรียกให้ชาวมุสลิมมาร่วมปฏิบัติศาสนกิจ แต่ปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งลำโพงเครื่องขยายเสียงแทน ภายในมัสยิดมีลักษณะเป็นห้องโถงมีระเบียงสองข้าง ภายในห้องโถงด้านใน มีบัลลังก์ทรงสูงและแคบเป็นที่สำหรับ “คอฏีบ” ยืนอ่านคุฏบะฮ์การละหมาดในวันศุกร์

ในปัจจุบันมัสยิดกลางปัตตานีได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจสำคัญ คือการละหมาดวันละ 5 เวลา เป็นกิจวัตรประจำวัน และใช้ในการละหมดในวันศุกร์รวมถึงการละหมาดในวันตรุษต่างๆ ซึ่งมีชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ปัตตานีรวมถึงชาวมุสลิมที่มาจากพื้นที่อื่นทั้งในและต่างประเทศมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในวันศุกร์และวันเสาร์ จะมีการบรรยายธรรมะซึ่งมีผู้เข้าร่วมรับฟังกว่า 3,000 คน อันเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในหลักการของศาสนา และเพื่อความถูกต้องในการบำเพ็ญศาสนกิจเป็นประจำทุกสัปดาห์
สถานที่ตั้ง
ถ.ยะรัง ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี
วันและเวลาเปิด – ปิดเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 -15.30 น. ยกเว้นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันประกอบศาสนกิจละหมาดประจำสับดาห์
สอบถามเพิ่มเติม โทร 0 7333 2402
มัสยิดกลางจังหวัดชลบุรี

2.มัสยิกลางจังหวัดชลบุรีปัจจุบันสภาพเศรฐกิจของจังหวัดชลบุรีได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นกึ่งอุตสาหกรรม ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จึงมีประชาชนย้ายภูมิลำเนาเข้ามาอาศัยเพิ่มเป็นจำนวนมาก ทำให้มัสยิดไม่สามารถรองรับกับจำนวนสัปบุรุษที่เพิ่มมากขึ้น คณะกรรมการจึงประชุมปรึกษาหารือและลงมติให้ทำการสร้างอาคารต่อเติมจากอาคารเดิมออกมาอีก กว้าง 12 เมตร ยาว 12 เมตร โดยมีชั้นลอยสำหรับสุภาพสตรีแยกไว้ต่างหาก แล้วเสร็จเมื่อพ.ศ. 2545 ค่าก่อสร้างประมาณ 2,500,000 (สองล้านห้าแสนบาท ) ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน 3.มัสยิดกลางจังหวัดกระบี่

มัสยิดกลางจังหวัดกระบี่

มัสยิดกลางจังหวัดกระบี่
จังหวัดกระบี่ถือได้ว่าเป็นจังหวัดกลุ่มจังหวัดเศรษฐกิจ และจังหวัดการท่องเที่ยว ซึ่งสัดส่วนประชากรในจังหวัดกระบี่ กว่า 45% เป็นชาวมุสลิม ซึ่งจังหวัดกระบี่ถือได้ว่ามีมัสยิดที่สวยงามอยู่หลากหลาย ในหลายพื้นที่ ทั้งศิลปะยุดเก่าและยุคใหม่
พิกัด E 98 52 42.2
N 8 6 33.4







4.มัสยิดกรือเซะ

มัสยิดกรือเซะ

เป็นมัสยิดเก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถาน ที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยอยุธยา มัสยิดกรือเซะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงประตูของมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบกอธิคของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออก






มัสยิดกลางจังหวัดนราธิวาส
5.มัสยิดกลางนราธิวาส
มัสยิดกลางหลังเก่านี้ มีชื่อว่า มัสยิดยุมอียะห์ หรือมัสยิดรายอ ตั้งอยู่ทางเหนือของตัวเมืองห่างจากศาลากลางจังหวัดขึ้นไปตามถนนพิชิตบำรุงก่อนถึงหอนาฬิกาเล็กน้อย เป็นมัสยิดไม้แบบสุมาตราสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 เป็นมัสยิดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองนราธิวาส และเป็นที่ตั้งของสุสานเจ้าเมืองเก่า คือ พระยาภูผาภักดี ตามปกติมัสยิดกลางประจำจังหวัดจะมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่เนื่องจากมัสยิดแห่งนี้ค่อนข้างคับแคบ จึงได้มีการสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นบริเวณปากแม่น้ำบางนรา อย่างไรก็ตามประชาชนในพื้นที่ยังคงเลื่อมใสศรัทธาในมัสยิดหลังเก่าอยู่ มัสยิดแห่งนี้จึงดำรงฐานะเป็นมัสยิดกลางสืบต่อไป และทำให้นราธิวาสมีมัสยิดกลางประจำจังหวัดด้วยกันถึง 2 แห่ง

6.มัสยิดมูฮายีรีน (ดินแดง)
ประวัติมัสยิด เริ่มแรกมัสยิดมู่ฮายีรีน (ดินแดง) มีอาคารที่พักผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์เป็นอาคารไม้ซึ่งในปัจจุบันก็ยังใช้บริการอยู่ ภายใต้อาคารหลังนี้ ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่อาบน้ำละหมาด เมื่อพี่น้องชาวมุสลิมทราบข่าวว่ามัสยิดมู่ฮายีรีนดินแดง (ดินแดง) มีสถานที่พักให้กับคนเดินทางหยุดพักก่อนจะเดินทางไปสนามบินดอนเมือง เป็นสถานที่ที่มีการสัญจรไปมาสะดวกอยู่ในเส้นทางเดียวกับสนามบินดอนเมืองมีอาหารการกินพร้อมเพียง ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมหลั่งไหลเข้ามาพักเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นฮัจยีอับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อน ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งอิหม่ามมัสยิด มู่ฮายีรีน จึงคิดสร้างอาคารที่พักหลังใหม่ขึ้นเพื่อได้บริการแก่ผู้มาพักได้อย่างพอเพียง ต่อมาท่านอิหม่ามฮัจยี อับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อนท่านได้ลาออกจากตำแหน่งอิหม่ามด้วยความชรา คณะกรรมการมัสยิดมู่ฮายีรีน จึงได้เลือกตั้งอิม่ามคนใหม่ ผลปรากฎว่าฮัจยีสมาน พุ่มอ่อน ซึ่งได้รับตำแหน่งอิหม่ามแทนท่านบิดาด้วยความเป็นเอกฉันท์และท่นอิหม่ามฮัจยีสมานก็ได้สานต่อโครงการจัดสร้างอาคารที่พักด้วยความมุมานะ จากคววามรู้และประสบการณ์ในการบริหารอิหม่ามฮัจยีสมาน ได้เริ่มก่อสร้างโครงการดังกล่าวด้วยเงินงบประมาณเพียง 98,000 บาท แต่การก่อสร้างก็ได้ก้าวหน้าไปอย่างฉับไว และเมื่อผลงานได้ประจักษ์แก่สาธารณชน ทำให้พี่น้องมุสลิมหลั่งไหลเข้ามาบริจาคเป็นจำนวนมาก

มัสยิดกลางจังหวัดสตูล
 7.มัสยิดกลางจังหวัดสตูล
ดังนั้นฮัจยีอับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อน ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งอิหม่ามมัสยิด มู่ฮายีรีน จึงคิดสร้างอาคารที่พักหลังใหม่ขึ้นเพื่อได้บริการแก่ผู้มาพักได้อย่างพอเพียง ต่อมาท่านอิหม่ามฮัจยี อับดุลเลาะห์ พุ่มอ่อนท่านได้ลาออกจากตำแหน่งอิหม่ามด้วยความชรา คณะกรรมการมัสยิดมู่ฮายีรีน จึงได้เลือกตั้งอิม่ามคนใหม่ ผลปรากฎว่าฮัจยีสมาน พุ่มอ่อน ซึ่งได้รับตำแหน่งอิหม่ามแทนท่านบิดาด้วยความเป็นเอกฉันท์และท่นอิหม่ามฮัจยีสมานก็ได้สานต่อโครงการจัดสร้างอาคารที่พักด้วยความมุมานะ จากคววามรู้และประสบการณ์ในการบริหารอิหม่ามฮัจยีสมาน ได้เริ่มก่อสร้างโครงการดังกล่าวด้วยเงินงบประมาณเพียง 98,000 บาท แต่การก่อสร้างก็ได้ก้าวหน้าไปอย่างฉับไว และเมื่อผลงานได้ประจักษ์แก่สาธารณชน ทำให้พี่น้องมุสลิมหลั่งไหลเข้ามาบริจาคเป็นจำนวนมาก
มัสยิดกลางอำเภอเบตง
8.มัสยิดกลางอำเภอเบตง ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล อำเภอเบตง เดิมมัสยิดกลางสร้างด้วยเสาไม้กลม 6 ต้น ใบจาก 6 ลายา ( ตับ ) โต๊ะอีหม่ามคนแรกชื่อ บือดีกา การีม เดิมเป็นคนจังหวัดปัตตานีมาสอนมวยซีละ ต่อมาก็ถึงแก่กรรมแล้วย้ายมัสยิดมายังหมู่บ้านกำปงบือตง ปัจจุบันหมู่บ้านเรียกว่ากำปงตือเย๊าะ โตะอีหม่ามชื่อ ฮัจยีวากือจิ ต่อมาย้ายไปตั้งที่หมู่บ้านกำปงยูรอ ฮัจยี ดาราโอ๊ะเป็นอีหม่าม และฮัจยีดารัง ฮัจดือเร๊ะตามลำดับ แล้วต่อมาย้ายมาอยู่ที่ปัจจุบัน

มัสยิดกลางจังหวัดสงขลา
9.       เมืองสงขลาเป็นชุมชนขนาดใหญ่มาตั้งแต่ในอดีต ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ในบริเวณที่เป็นอำเภอสทิงพระในปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางการปกครองของดินแดนรอบ ๆ ทะเลสาบสงขลา ในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12–19 มีรูปแบบวัฒนธรรมแบบศรีวิชัย มีการขุดคลองเชื่อมต่อระหว่างตัวเมืองกับทะเลสาบสงขลาและอ่าวไทย และทำการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (ประมาณ พ.ศ. 1201–1450)
มัสยิดกลางจังหวัด พระนครศรีอยุธยา
10. มัสยิดกลางประจำ จ. พระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ที่ ต. คลองตะเคียน อ. พระนครศรีอยุธยา โดยมัสยิดกลางแห่งนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ร้านอาหารมุสลิมในห้างบิ๊กซีและห้างโลตัส สาขากระบี่ ได้รับเครื่องหมายฮาลาลแล้ว

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 20 ตุลาคม 2551 นายห้าหรน บุญชู ประธานคณะกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาล สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยคณะฯ ได้เข้าตรวจสอบร้านอาหารภายในห้างบิ๊กซี และห้างโลตัส สาขากระบี่ ภายหลังจากที่ทางผู้ประกอบการร้านอาหารได้ยื่นเรื่องขออนุมัติเครื่องหมายฮาลาล กับทางคณะกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาล

ทั้งนี้ทางคณะกรรมการฯได้เข้าตรวจสอบ ส่วนผสมอาหารภายในห้องครัว และสถานที่ล้างจานร้านอาหารมุสลิม ที่มีอยู่ภายในห้างบิ๊กซี จำนวน 2 ร้านและภายในห้าง เทสโก้โลตัสอีก 4 ร้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ร้านอาหารมุสลิมในห้างเทสโกโลตัสนั้น เพิ่งได้รับการอนุมัติเครื่องหมายฮาลาล จากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายห้าหรน บุญชู ประธานคณะกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาล กล่าวว่า ในการตรวจร้านอาหารภายในห้างทั้งสองแห่ง สืบเนื่องจากที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการร้านอาหารได้ยื่นเรื่องขออนุมัติเครื่องหมายฮาอาลาลจากคณะกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาล

และก่อนหน้านี้ ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า ร้านอาหารมุสลิมภายในห้างดังกล่าว ไม่ได้มีการคัดแยกภาชนะใส่อาหาร ที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม จึงทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะชาวมุสลิมเกิดความสงสัยว่าสามารถรับประทานได้หรือไม่ ซึ่งทางคณะกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาลก็ได้ แจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการให้ดำเนินการแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามแล้ว และในขณะนี้มีร้านอาหารภายในห้างโลตัสและห้างบิ๊กซี ที่ผ่านการอนุมัติเครื่องหมายฮาลาล จากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยมีอยู่ 6 ร้าน ด้วยกัน คือ

ที่ห้างเทสโก้ โลตัส จำนวน 4 ร้านประกอบด้วย ร้านก๊วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นบังสา ร้านอาหารตามสั่งฮาลาลฟู้ด ร้านอาหารฟิรเดาซ์ (ร้านฟารีดาข้าวหมกแพะ) และร้านอาบูร

ส่วนในห้างบิ๊กซีก็มีอยู่ 2 ร้าน คือ ร้านอาหารตามสั่งไทย-อิสลามอิมิเรตส์ และร้านมุสลิม
นายห้าหรนกล่าวอีกว่า ในส่วนของแผงจำหน่ายเนื้อสัตว์ ภายในห้างบิ๊กซี และห้างแมคโคร นั้น ก็ได้รับเครื่องหมายฮาลาลฯแล้วเช่นกัน แต่ทั้งนี้ผู้บริโภคจะต้องตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ด้วยว่า มีเครื่องหมายฮาลาลด้วย หรือไม่ เพื่อความมั่นใจของผู้บริโภค เพราะสินค้าบางรายการยังไม่ได้ขออนุมัติเครื่องหมายฮาลาลฯ ซึ่งทางคณะกรรมการก็จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้มีการปลอมแปลงเครื่องหมาย หรือใช้เครื่องหมายที่หมดอายุ อย่างไรก็ตามในส่วนของร้านจำหน่ายไก่ทอดเคเอฟซี นั้นยังไม่ผ่านการรับรองฮาลาลจากคณะกรรมการฯ แต่อย่างใด เนื่องจากทางผู้ประกอบการไม่ได้ทำเรื่องขออนุมัติ ซึ่งก็ได้แจ้งเตือนไปแล้ว แต่ถ้าหากทางผู้บริโภคที่เป็นชาวมุสลิมจะไปทานก็ไม่สามารถห้ามได้ แต่ผู้ที่ไปรับประทานก็ต้องรับผิดชอบตัวเขาเอง ด้านนางสาวเพ็ญดาว บุญชัย ฝ่ายพลาซ่า ห้างบิ๊กซี สาขากระบี่ กล่าวว่า ทางห้างรู้สึกยินดีที่ทางคณะกรรมการอิสลามฯเข้ามาตรวจสอบร้านอาหารมุสลิม เพื่อจะได้สร้างความมั่นใจกับลูกค้าที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งทางห้างก็ได้มีการคัดแยกภาชนะใส่อาหาร และที่ล้างภาชนะไว้อย่างชัดเจน ระหว่างที่ล้างจานไทยพุทธ และที่ล้างจานไทยมุสลิม เพื่อไม่ให้มีการปะปนกัน และขอยืนยันว่า ร้านอาหารมุสลิมภายในห้างบิ๊กซีนั้น ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการฮาลาลเรียบร้อยแล้ว และหลังจากนี้ จะมีการแยกโซนที่นั่งรับประทานอาหาร และนำเครื่องหมายฮาลาลมาติดไว้ที่หน้าร้าน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบทั่วกัน

---------------------------------------
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่

มุสลิมกับวันวาเลนไทน์

- ที่มาของวันวาเลนไทน์
เรื่องราวเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์นั้นก็เป็นเรื่องที่คลุมเครือ จะสืบหาประวัติอะไรที่แน่นอนก็ไม่ได้ ซึ่งก็ได้แต่สันนิษฐานกันไปตามคำบอกเล่าต่างๆ นาๆ ไม่มีต้นกำเนิดของเรื่องและความเป็นมาที่ชัดเจน ในหนังสือหลักๆเท่าที่สันนิษฐานกัน พอสรุปได้ว่าดังนี้
*-1-*วันวาเลนไทน์นี้เดิมเป็นการฉลองการเจริญพันธุ์ของพวกโรมันโบราณ ซึ่งเป็นการระลึกถึงเทพเจ้าลูเปอร์คุส (เทพแห่งการเจริญพันธุ์) ต่อมาภายหลังจึงได้รับเอาเข้ามาเป็นของคริสต์ศาสนา โดยโยงเข้ากับเรื่องการพลีชีพเพื่อศาสนาของนักบุญที่ชื่อวาเลนไทน์ ซึ่งมีวันฉลองใกล้กัน(ของเดิม 15 กุมภาพันธ์ ส่วนของนักบุญวันที่ 14 กุมภาพันธ์)
*-2-*ว่ากันว่า เซนต์วาเลนไทน์เป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนาคริสต์ ซึ่งถูกประหารชีวิตในกรุงโรมเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณ ค.ศ.269 หรือ 270 และมี 2 ท่านชื่อซ้ำกัน แต่ประวัติของทั้งสองท่านเป็นเรื่องเล่ากันมาแบบปรัมปรา ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นเรื่องที่เล่าต่างกัน แต่ตัวบุคคลเป็นคนเดียวกัน
*-3-*การฉลองวันวาเลนไทน์เริ่มมีขึ้นในสมัยกลางของยุโรป แต่การที่ถือว่าเซนต์วาเลนไทน์เป็นนักบุญผู้อุดหนุนคู่รัก เป็นเรื่องที่กลายมาในช่วงหลัง โดยถือว่าเป็นผู้ช่วยเหลือคนมีความรักที่ตกอยู่ในความทุกข์ถูกข่มบังคับ
*-4-*การที่วันที่ระลึกเซนต์วาเลนไทน์กลายมาเป็นวันแห่งความรักนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ ซึ่งที่จริงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเซนต์วาเลนไทน์เลย แต่เรื่องมาโยงกันและกลายไป คงจะเนื่องจากชาวยุโรปสมัยกลางมีความเชื่อว่านกเริ่มฤดูผสมพันธุ์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ การเขียนข้อความแสดงความรักส่งถึงกันในวันนี้ก็ว่าเริ่มมาแต่ปลายสมัยกลาง โดยถือว่าเป็นวันเริ่มฤดูผสมพันธุ์ของนกนั่นเอง (บ้างก็ว่าเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16) ส่วนในสหรัฐอเมริกา เริ่มมีการจัดทำการ์ดวาเลนไทน์เป็นธุรกิจในช่วง ค.ศ.1840-1849
*-5-*"วาเลนไทน์" คือวันที่ชาวคริสต์ใช้เป็นสัญญลักษณ์แทนความระลึกถึง "เซนต์วาเลนไทน์" บุรุษผู้มีความรัก ความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์จนทำให้เขาต้องจบชีวิตตัวเอง และหนุ่มผู้มีหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักนี้ ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270
เรื่องราวทั้งหมดก็มีอยู่ว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 สมัยที่จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ปกครองอาณา-จักรโรมัน นักบุญวาเลนไทน์ซึ่งมีชื่อจริงว่า "วาเลนตินัส" เป็นผู้นำคริสเตียนที่มีความอาทรต่อเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างมาก นักบุญผู้นี้มักลอบนำข้าวของเครื่องใช้และอาหารไปวางไว้หน้าประตูบ้านของคนยากจนเสมอๆ
เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่สมัยนั้นอาณาจักรโรมันเป็นสังคมเทวนิยมจึงมีกฎห้ามไม่ให้ชาวโรมันนับถือคริสต์ เมื่อเป็นเช่นนั้นทำให้วาเลนตินัสถูกทางการจับเข้าคุกโทษฐานที่เขาเป็นคริสเตียน
ครั้นพอเข้าไปอยู่ในคุก เขาก็บังเอิญไปพบรักกับหญิงตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวผู้คุม วาเลนติ
นัสอธิษฐานต่อพระเจ้าขอให้ดวงตาของหญิงอันเป็นที่รักกลับมามองเห็นได้อย่างคนปกติทั่วไปอีกครั้ง แล้วคำขอก็สัมฤทธิ์ผล ทำให้ครอบครัวของหญิงคนนั้นหันมานับถือพระเจ้า และพระเยซูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อจักรพรรดิทราบเรื่องก็โกรธมาก สั่งให้ทหารโบยวาเลนตินัสก่อนจะบัญชาการให้ทหารนำเอาตัวไปตัดศีรษะในตอนรุ่งเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คืนสุดท้ายก่อนตาย เขาได้เขียนจดหมายอำลาคนรักลงท้ายว่า "จากวาเลนไทน์ของเธอ"
เรื่องราวของวาเลนตินัสเป็นที่ร่ำลือไปทั่วโลก เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับคนทั้งโลกโดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ดังนั้น ชาวคริสต์จึงถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์เพื่อระลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของหนุ่มนักบุญคนนี้
*-6-*วันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรัก เริ่มต้นขึ้นมาจากวันฉลองเพื่อระลึกถึงคริสเตียน 2 คนที่เสียสละเพื่อมนุษย์ ชื่อ วาเลนไทน์ (Valentine) แต่ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันนี้ ก็ไม่มีสิ่งไหนที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของนักบุญเหล่านี้ ประเพณีนี้บางทีจะมาจากประเพณีโรมันโบราณที่เรียกว่า ลูเปอร์คาเลีย(Lupercalia)ชาวโรมันฉลองวันลูเปอร์คาเลียเป็นประเพณีแห่งความรักของหนุ่มสาว ชายและหญิงสาวจะเลือกคู่สำหรับประเพณีนี้โดยการเขียนชื่อตนใส่กล่องและจับฉลาก เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงความรัก และปกติเขาจะยังคงติดต่อสัมพันธ์กันเป็นเวลานานหลังจากประเพณีนี้ผ่านไปแล้ว หลายคู่ก็จะลงเอยด้วยการแต่งงาน
หลังจากที่ความเป็นคริสเตียนแพร่หลายออกไป ชาวคริสเตียนก็พยายามที่จะให้ความหมายของประเพณีนี้ในแง่ของคริสเตียน และพวกเขาเปลี่ยนมาใช้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ แต่ความหมายตามความรู้สึกแบบประเพณีเก่าก็ยังคงมีมาถึงปัจจุบัน อธิบาย *-1-*
วันวาเลนไทน์เป็นวันเฉลิมฉลองเนื่องจากการรำลึกถึงพระเจ้าลูเปอร์คุส ของพวกโรมันโบราณต่อมาได้โยงเข้ากับเรื่องการพลีชีพของนักบุญที่ชื่อ "วาเลนไทน์" ซึ่งอยู่ในวันที่ใกล้เคียงกัน หากวันวาเลนไทน์มีที่มาจากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจริง นั่นเท่ากับว่าไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์โดยเด็ดขาด เพราะถ้ามุสลิมคนใดมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในวันดังกล่าว ก็เท่ากับว่าเขามีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองพิธีกรรมการรำลึกถึงพระเจ้าลูเปอร์คุสซึ่งเป็นพระเจ้าที่ชาวโรมันสมัยโบราณนับถืออยู่
ดังนั้น วันวาเลนไทน์ที่มาจากความเชื่อดังกล่าว จึงมิใช่เป็นเพียงวันที่ถูกกล่าวถึงวันแห่งความรักประการเดียว ทว่ายังเป็นวันที่รวมเอาความเชื่อ(อะกีดะฮ) ทางศาสนาของชาวโรมันโบราณเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ในหลักการของอิสลามได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนและรัดกุมว่า มุสลิมจะต้องไม่เคารพภักดีหรือเชื่อมั่นพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮเท่านั้น
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน
(وَاعْبُدُوا اللَّهَ وَلا تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئاً ) (سورة النساء: من الآية 36)
ความว่า "และพวกท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺเถิด และพวกท่านจงอย่าตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์" (อัน-นิสาอ์ : 36)
ประเด็นต่อมา ความเชื่อในการรำลึกถึงพระเจ้าลูเปอร์คุสถูกผนวกกับการพลีชีพเพื่อศาสนาของนักบุญที่ชื่อ "วาเลนไทน์" ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มุสลิมไม่สามารถร่วมกิจกรรมในวันวาเลนไทน์ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะมุสลิมคนใดก็ตามที่ร่วมฉลองวันวาเลนไทน์ เท่ากับว่าเขาได้ร่วมเฉลิมฉลองแสดงความรำลึกถึงนักบุญที่ชื่อว่าวาเลนไทน์ อีกทั้งยังแสดงความอาลัยต่อการจากไปของนักบุญผู้นั้นอันสืบเนื่องมาจากการพลีชีพเพื่อศาสนาของเขา เพราะหลักการของอิสลามมิได้บัญญัติถึงการอนุญาตให้ร่วมแสดงความอาลัยหรือเฉลิมฉลองให้แก่บุคคลสำคัญท่านใดทั้งสิ้น

อธิบาย *-2-*
เซนต์วาเลนไทน์เป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนาคริสต์ซึ่งถูกประหารชีวิตในกรุงโรมเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณ ค.ศ.269 หรือ 270 ด้วยสาเหตุข้างต้น จึงกลายมาเป็นวันวาเลนไทน์จวบจนถึงปัจจุบันนี้ หากข้อมูลข้างต้นคือที่มาอันถูกต้องของวันวาเลนไทน์แล้ว ศาสนาอิสลามก็ไม่อนุญาตให้มุสลิมร่วมกิจจกรรมเกี่ยวกับวันดังกล่าว
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในคัมภีร์อัล-กุรอานว่า
(لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِينِ) (سورة الكافرون: 6)
ความว่า "สำหรับพวกท่านคือศาสนาของท่าน และสำหรับฉันคือศาสนาของฉัน" (อัล-กาฟิรูน : 6)
ประการถัดมา เซนต์วาเลนไทน์เป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนาคริสต์ ซึ่งถูกประหารชีวิตที่กรุงโรม เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณ ค.ศ.269 หรือ 270 แสดงให้เห็นว่านักบุญวาเลนไทน์เกิดก่อนท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ประมาณ 300 ปี เพราะท่านนบีเกิดประมาณ ค.ศ.570 แสดงว่าท่านน่าจะต้องทราบเรื่องราวของนักบุญวาเลนไทน์อยู่บ้าง เพราะผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ที่อาศัยอยู่ในเมืองมักกะฮฺและมะดีนะฮมีจำนวนมากมาย แต่ไม่พบหลักฐานว่าท่านสั่งให้บรรดามุสลิมที่อยู่ร่วมกับท่าน(คือบรรดเศาะหาบะฮ) ทำการเฉลิมฉลองวันแห่งความรักดังกล่าว ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังกำชับให้บรรดามุสลิมออกห่างจากการเลียนแบบชนกลุ่มอื่น โดยเฉพาะยะฮูดีย์(ยิว)และนัศรอนีย์(คริสเตียน)ไว้อีกด้วย ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า "ไม่ใช่พวกเรา ผู้ที่เลียนแบบแนวทางอื่นไปจากเรา พวกท่านอย่าได้เลียนแบบตามพวกยะฮูดีย์และนัศรอนีย์(ยิวและคริสต์)" (อัต-ติรมิซีย์ : 2695)


อธิบาย *-3-*
การฉลองวันวาเลนไทน์เริ่มขึ้นในสมัยกลางของยุโรป แต่เซนต์วาเลนไทน์ซึ่งเป็นนักบุญผู้อุดหนุนคู่รักกลายมาในช่วงหลัง โดยถือว่าเป็นผู่ช่วยเหลือบุคคลที่มีความรักซึ่งตกอยู่ในความทุกข์และถูกขู่บังคับ หากข้อมูลข้างต้นเป็นที่มาที่ถูกต้องของวันวาเลนไทน์ ศาสนาก็ไม่อนุญาตให้มุสลิมร่วมกิจจกรรมในวันดังกล่าวด้วยเช่นกันเพราะนักบุญวาเลนไทน์เป็นผู้อุดหนุนคู่รัก และช่วยเหลือบุคคลที่มีความรักให้สมหวัง หรือช่วยให้ผู้ที่มีความรักที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์ได้รับความสุข ด้วยเหตุดังกล่าว วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีจึงเป็นวันแห่งความรัก อันสืบเนื่องมาจากนักบุญวาเลนไทน์ได้ช่วยเหลือบุคคลที่มีความรัก หากมุสลิมร่วมฉลองในวันดังกล่าวก็เท่ากับว่าเห็นด้วยกับแนวคิดของนักบุญวาเลนไทน์ในการให้บุคคลที่มีความรักได้สมหวัง แต่อิสลามสอนให้มุสลิมเห็นด้วยกับแนวทางที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺ และแนวทางที่มาจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เท่านั้น ส่วนแนวทางที่มิได้มาจากพื้นฐานทั้งสองถือว่าจำเป็นต้องละทิ้ง ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า "สิ่งใดก็ตามที่ฉันสั่งใช้พวกท่าน พวกท่านจงยึดมั่นสิ่งนั้นไว้ และสิ่งใดก็ตามที่ฉันห้ามพวกท่าน พวกท่านจงละทิ้งสิ่งนั้นเสีย" (อิบนุ มาญะฮฺ : 1-2)
ประการต่อมา อิสลามไม่อนุมัติให้เชื่อฟังและปฎิบัติตามแนวความคิดของบรรดานักพรต บาทหลวง หรือผู้นำของศาสนาอื่นได้เลย
ท่านอะดีย์ บุตรของหาติม กล่าวว่า "ฉันมาหาท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ขณะที่ฉันสวม(สร้อยคอ)ไม้กางเขนซึ่งทำมาจากทองที่คอของฉันเมื่อท่านนบีเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวแก่ฉันว่า "โอ้อะดีย์ท่านจงโยนรูปเจว็ดนั้นทิ้งไปเสียเถิด!" จากนั้นฉันได้ยินท่านนบีอ่านอายะฮฺในสูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ ว่า
(اتَّخَذُوا أَحْبَارَهُمْ وَرُهْبَانَهُمْ أَرْبَاباً مِنْ دُونِ اللَّهِ ) (سورة التوبة: من الآية 31)
ความว่า "พวกเขาได้ยึดเอาบรรดาพวกนักพรต(นักปราชญ์ของยิว) และบรรดาบาทหลวง(ของคริสเตียน) ของพวกเขาเป็นพระเจ้าอื่นจากพระองค์อัลลอฮฺ" (อัต-เตาบะฮฺ : 31)
แล้วท่านนบีกล่าวต่ออีกว่า "พึงทราบเถิดว่า แท้จริงพวกเขามิได้เคารพบรรดาบาทหลวงของพวกเขาหรอก แต่ทว่าเมื่อพวกเขา(หมายถึงนักปราชญ์ของยิว และบรรดาบาทหลวงของคริสเตียน)ทำสิ่งหนึ่งให้เป็นที่อนุมัติแก่พวกท่าน พวกท่านก็ทำให้สิ่งนั้นเป็นที่อนุมัติไปด้วย และเมื่อพวกเขาทำให้สิ่งหนึ่งเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกท่าน พวกท่านก็จะทำให้สิ่งนั้นเป็นที่ต้องห้ามไปด้วย" (อัต-ติรมิซีย์ : 3095)
คำกล่าวของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สิ่งใดก็ตามที่มาจากนักปราชญ์ของยิวหรือบรรดาบาทหลวงของคริสเตียน หรือบรรดาผู้นำจากศาสนาอื่นๆ ซึ่งเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเขา มุสลิมจะนำมาปฏิบัติไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะการปฏิบัติตามพวกเขาถือเสมือนหนึ่งว่าได้ไปเคารพภักดีพวกเขาแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่แสดงภาพแห่งความเคารพด้วยท่าทางก็ตาม แต่เป็นการเคารพทางความคิดที่ถูกกลั่นกรองมาจากพื้นฐานเดิมของศาสนาที่พวกเขานับถืออยู่ ดังที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้สั่งให้ท่านอะดีย์โยนสร้อยคอที่มีรูปไม้กางเขนทิ้ง เนื่องจากไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ถึงแม้ว่าท่านอะดีย์จะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม แต่ประหนึ่งว่าท่านอะดีย์ได้เชื่อฟังคำสั่งของบาทหลวงของพวกเขาที่สั่งใช้ให้แขวนไม้กางเขนดังกล่าว ถ้าเช่นนั้นผู้เขียนขอถามมุสลิมว่า วันวาเลนไทน์มาจากแห่งใด? วันวาเลนไทน์มาจากตาสีตาสาตามท้องไร่ท้องนาใช่ไหม? บุคคลที่กำหนดวันวาเลนไทน์คือบุคคลที่เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะใช่ไหม?
ฉะนั้น จึงไม่ต้องตั้งคำถามอีกแล้วว่า มุสลิมจะร่วมกิจกรรมในวันวาเลนไทน์ได้หรือไม่? เพราะผู้เขียนเชื่อว่าพี่น้องมุสลิมทุกท่านคงตอบคำถามข้างต้นนี้ได้ทุกคน

อธิบาย *-4-*
การฉลองวันวาเลนไทน์เป็นเรื่องบังเอิญซึ่งไม่เป็นความจริง เพียงแต่ไปผนวกไว้กับช่วงที่นกเริ่มฤดูผสมพันธุ์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวยุโรปในสมัยกลาง
หากข้อสันนิษฐานข้างต้นคือที่มาของวันวาเลนไทน์ที่แท้จริงแล้ว ศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดเข้าร่วมกิจกรรมในวันนั้นอย่างเด็ดขาด
ประการแรก มุสลิมจะไม่เชื่อโชคลางใดๆทั้งสิ้น ไม่เชื่อว่าเมื่อนกผสมพันธุ์กันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะกลายเป็นวันแห่งความรักของมนุษย์ด้วย
ประการที่สอง มุสลิมจะต้องมอบหมายตนต่อพระองค์อัลลอฮเพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้มุสลิมมอบหมายตนยังสิ่งอื่น หรือมีความเชื่อต่อวันและเวลาอย่างเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่น หากมุสลิมผู้หนึ่งกล่าวอ้างว่า ถ้าแต่งงานในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ชีวิตคู่ของบ่าวสาวภายหลังจากนั้นจะมีแต่ความสุขสดชื่นตลอดไป ตามหลักการถือว่ามุสลิมผู้นั้นได้ตั้งภาคีต่อพระองค์อัลลอฮแล้ว เนื่องจากเขาถือชีวิตคู่จะมีความสุขไม่ได้นอกจากจะต้องแต่งงานกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์เท่านั้น เช่นนี้ถือว่ามุสลิมผู้นั้นมิได้มอบหมายตนต่อพระองค์อัลลอฮ แต่มอบหมายตนต่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์แทน
ประการที่สาม ศาสนาก็ไม่อนุญาตให้มุสลิมทำการอวยพรหรือแสดงความยินดีสำหรับผู้ที่แต่งงานในวันวาเลนไทน์ด้วยเช่นกัน เพราะถือว่าสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคคลอื่นมีความเชื่อต่อวันดังกล่าวว่าเป็นวันแห่งความดีงามและจะมีความรักอันยั่งยืนตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ (ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด)
ประการที่สี่ เนื่องจากชาวยุโรปในสมัยกลางมีความเชื่อว่านกเริ่มผสมพันธุ์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์จึงผนวกเข้ากับวันวาเลนไทน์ ซึ่งถือว่าเป็นวันแห่งความรักจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เช่นนี้เองศาสนาจึงไม่อนุญาตให้มุสลิมร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าว เพราะถือว่าไปนำแบบอย่างของศาสนาอื่นมาปฏิบัติ ซึ่งท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า "บุคคลใดที่เลียนแบบกลุ่มชนอื่น ดังนั้นเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย" (อบู ดาวูด 4031)

อธิบาย *-5-*
ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ถือว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อระลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของนักบุญที่ชื่อ วาเลนตินัส เช่นนั้นศาสนาอิสลามก็ไม่อนุมัติให้มุสลิมร่วมกิจกรรมดังกล่าว
ประการแรก การกำหนดวันวาเลนไทน์นั้นมาจากศาสนาคริสต์ ซึ่งท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวสำทับต่อบรรดามุสลิมว่า "พวกท่านจงอย่าเลียนแบบตามชาวยะฮูดีย์(ยิว) และชาวนัศรอนีย์(คริสเตียน)" (อ้างแล้ว) ฉะนั้น มุสลิมจึงต้องเข้มงวดในเรื่องการไม่ปฎิบัติตามพฤติกรรมที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจากศาสนาอื่น
ประการที่สอง ศาสนาจะอนุญาตให้ปฏิบัติตามแนวทางของศาสนาอื่นได้ โดยมีเงื่อนไขว่าท่านนบีจะต้องเป็นผู้อนุมัติสิ่งนั้นเสียก่อน หรือท่านนบีปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น การถือศีลอดในวันที่ 10 เดือนมุหัรร็อม ซึ่งครั้งหนึ่งนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เดินทางกลับมายังเมืองมะดีนะฮฺ ก็พบว่าพวกยิวกำลังถือศีลอดอยู่ ท่านนบีจึงเอ่ยถามขึ้นว่า พวกท่านถือศีลอดอะไรกัน? พวกเขาตอบว่า วันนี้(หมายถึงวันที่ 10 มุหัรร็อม ) พระองค์อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือนบีมูซา(โมเสส)ในวันดังกล่าว ส่วนฟิรเอาน์จมน้ำสิ้นชีวิต(ในวันนั้นด้วย) ดังนั้นท่านนบีมูซาจึงถือศีลอดในวันดังกล่าวเพื่อขอบคุณ(ต่อพระองค์อัลลอฮฺ) ท่านนบีจึงกล่าวขึ้นว่า เรามีสิทธิต่อท่านนบีมูซามากกว่าพวกท่าน และท่านนบีจึงได้กำชับให้บรรดามุสลิมถือศีลอดกันในวันนั้น
ถึงแม้ว่าท่านนบีจะกำชับให้ถือศีลอดในวันดังกล่าว แต่ทว่าท่านก็ยังได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติตัวของมุสลิมชาวยิว โดยให้บรรดามุสลิมถือศีลอดในวันที่ 9 มุหัรร็อมเพิ่มอีกหนึ่งวัน และท่านนบียังตั้งเจตคติไว้ว่า เมื่อถึงเดือนมุหัรร็อมในปีหน้าจะถือศีลอดในวันที่ 9 เพิ่มอีกวันหนึ่ง ครั้นยังไม่ถึงปีหน้าท่านนบีก็สิ้นชีวิตเสียก่อน จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติที่ส่งเสริมให้บรรดามุสลิมถือศีลอดในวันที่ 9 และ 10 ของเดือนมุหัรร็อมรวมเป็นสองวัน ซึ่งต่างจากชาวยิวที่ถือศีลอดเพียงวันเดียว

สรุป
จากรายละเอียดที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด พอที่จะสรุปให้เป็นบทเรียนและเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตดังต่อไปนี้

1. มุสลิมจะต้องไม่นำสิ่งอื่นที่มิใช่อิสลาม หรือนำระบอบการดำเนินชีวิตอื่นจากอิสลามมาปฏิบัติ ดังที่พระองค์อัลลอฮได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
(وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلامِ دِيناً فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ ) (سورة آل عمران: من الآية 85)
ความว่า "และบุคคลใดก็ตามที่แสวงหาศาสนาอื่นจากศาสนาอิสลาม ศาสนานั้นจะไม่ถูกรับจากเขา (หมายความว่าพระองค์อัลลอฮจะไม่ทรงรับศาสนานั้นจากเขาเป็นอันขาด)" (อาล อิมรอน : 85)
ดังนั้นวิถีชีวิตของมุสลิมจะต้องดำเนินตามแนวทางของอิสลามเท่านั้น จะนำวิถีอื่นจากอิสลามมาปฏิบัติมิได้ หากมุสลิมไปปฏิบัติตามแนวทางอื่น แน่นอน การงานที่เขาปฏิบัตินั้นจะไม่ถูกตอบรับจากพระองค์อัลลอฮอย่างเด็ดขาด ดังที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในอายะฮฺอัลกุรอานข้างต้น
2. ไม่อนุญาตให้มุสลิมเลียนแบบพฤติกรรมพวกยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์ ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวเตือนไว้ว่า "แน่นอนอย่างยิ่ง พวกท่านจะปฏิบัติตามแนวทางของกลุ่มชนก่อนหน้าพวกท่านคืบตามคืบ ศอกตามศอก ตามจนกระทั่งว่า หากพวกเขาเข้าลงรูแย้ พวกท่านก็จะตามพวกเขาเข้ารูแย้เช่นกัน" บรรดาเศาะหาบะฮกล่าวถามว่า "พวกเราจะตามพวกยะฮูดีย์และนัศรอนีย์ใช่ไหม?" ท่านนบีตอบว่า "แล้วจะมีพวกไหนอีกล่ะ!" (อัล-บุคอรีย์ : 3269 มุสลิม : 2669)
คำกล่าวของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ข้างต้นได้ฉายภาพแห่งการเลียนแบบได้อย่างชัดเจนที่สุด มุสลิมจะเลียนแบบพวกยิว และคริสเตียนทุกย่างก้าว ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติอย่างไร มุสลิมเก็บตกมาปฏิบัติจนเกือบหมดไม่เว้นแม้แต่วันวาเลนไทน์ซึ่งมาจากศาสนาคริสเตียนอันเป็นที่รู้กันดีอยู่ แต่มุสลิมก็ยังปฏิบัติตามพวกเขาอยู่ ทั้งๆที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวสำทับไว้อย่างหนักแน่นว่า อย่าเดินตามแนวทางของพวกเขาโดยเด็ดขาด เพราะมิเช่นนั้น แล้วภาพลักษณ์ของความเป็นมุสลิมจะหายไป แล้วมีมุสลิมกี่คนที่ตอบสนองต่อคำสอนและคำสำทับดังกล่าวนั้น
3. มุสลิมจะต้องดำเนินชีวิตอย่างคนแปลกหน้า ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า "แท้จริง อิสลามเริ่มต้นอย่างคนแปลกหน้า และจะหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างคนแปลกหน้า ดังนั้นจงแจ้งข่าวดีกับคนแปลกหน้าเถิด(คนแปลกหน้าหมายถึง) บรรดาผู้ซึ่งฟื้นฟูแนวทางของฉันขณะที่ผู้คนทั้งหลายสร้างความเสื่อมเสียภายหลังจากฉัน(หมายถึงภายหลังจากที่ท่านนบีมุหัมมัดสิ้นชีวิตไปแล้ว)” (มุสลิม : 145, อะห์มัด : 16736 สำนวนนี้เป็นของท่าน)
ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กำลังจะบอกกับบรรดามุสลิมว่า ให้มุสลิมดำรงชีวิตเฉกเช่นคนแปลกหน้า แปลกหน้าในที่นี้หมายถึงให้ปฏิบัติตามแนวทางที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺ และแนวทางที่มาจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในการใช้ชีวิตประจำวัน

----------------------------------------
พระองค์คือพระผู้อภิบาลทั้งโลกนี้และโลกหน้า
ขอให้บ่าวของพระองค์ทุกคน "จงหลุดพ้นจากแนวทางที่พระองค์ทรงกริ้ว" ด้วยเถิด

อนุญาตให้สามีภรรยาไม่สวมเสื้อผ้าขณะนอนหรือไม่ และจะมีผลต่อเรื่องเฏาะฮาเราะฮฺ (ความสะอาด) อย่างไร

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า
(وَالَّذِينَ هُمْ لِفُرُوجِهِمْ حَافِظُونَ ، إِلَّا عَلَى أَزْوَاجِهِمْ أوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُمْ فَإِنَّهُمْ غَيْرُ مَلُومِينَ) (المؤمنون : ٥-6 )
“และบรรดาผู้ที่สงวนอวัยวะเพศของพวกเขา เว้นแต่กับบรรดาภรรยาของพวกเขา หรือกับสตรีใต้การครอบครองของพวกเขา (ทาสี) ซี่งในกรณีเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ถูกตำหนิ” [อัลมุอฺมินูน 23:5-6]

อิมาม อิบนุ หัซมฺ رحمه الله กล่าวว่า
อัลลอฮฺทรงใช้ให้พวกเราสงวนอวัยวะเพศ ยกเว้นกับบรรดาภรรยาของพวกเราหรือกับสตรีที่อยู่ใต้อำนาจของพวกเรา (ทาสี) ซึ่งจะไม่ถูกตำหนิในกรณีนั้น นี่เป็นการกล่าวถึงอย่างกว้างๆ ซึ่งหมายรวมทั้งการมอง การสัมผัส และการคลุกคลีปะปนกัน (อัลมุหัลลา, 9/165)

สำหรับหลักฐานจากซุนนะฮฺ มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ และฉันเคยอาบน้ำญะนาบะฮฺจากภาชนะซึ่งถูกวางไว้ระหว่างฉันกับท่าน ท่านเร่งรีบตักจนฉันกล่าวว่า “เหลือไว้สำหรับฉันบ้าง เหลือไว้สำหรับฉันบ้าง” (บันทึกโดย อัลบุคอรี, 258; มุสลิม, 321 ในสำนวนนี้บันทึกโดยมุสลิม)

อัลหาฟิซ อิบนุ หะญัร กล่าวว่า อัลดาวุดี ใช้หลักฐานนี้บอกว่าเป็นที่อนุมัติให้ชายมองเอาเราะฮฺของภรรยาและอนุมัติให้หญิงมองเอาเราะฮฺของสามี และได้รับการสนับสนุนโดยรายงานจาก อิบนุหิบบาน จาก สุลัยมาน อิบนุ มูซา ซึ่งถูกถามเกี่ยวกับการที่ผู้ชายมองอวัยวะเพศของภรรยา เขากล่าวว่า ฉันได้ถาม อะฏออ์ แล้วเขากล่าวว่า ฉันได้ถามท่านหญิงอาอิชะฮฺ และนางได้กล่าวถึงหะดีษนี้ อัลหาฟิซกล่าวว่า นี่คือรายงานที่เจาะจงสำหรับเรื่องนี้เลยทีเดียว

ยังมีหะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า จงรักษาเอาเราะฮฺของท่าน ยกเว้นกับบรรดาภรรยาและสตรีผู้อยู่ใต้อำนาจของพวกท่าน” (บันทึกโดย อบูดาวูด, 4017; อัตติรมิซี, 2769 หะดีษนี้อยู่ในระดับหะซัน; อิบนุมาญะฮฺ, 1920; รายงานโดย มุอัลละกอ โดย อัลบุคอรี, 1/508) อัลหาฟิซ อิบนุ หะญัร กล่าวเกี่ยวกับหะดีษนี้ว่า สำหรับข้อความ “ยกเว้นสำหรับภรรยาของพวกท่าน” หมายถึง อนุญาตให้ภรรยามองเอาเราะฮฺของสามีและอนุญาตให้สามีมองเอาเราะฮฺของภรรยา

อิบนุ หัซมฺ กล่าวว่า เป็นที่หะลาลสำหรับผู้ชายในการมองอวัยวะเพศหญิงของภรรยาและทาสีของเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาได้รับอนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ และเป็นที่อนุญาตให้พวกนางมองอวัยวะเพศของเขา ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องนั้น หลักฐานของเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีถึงรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ และท่านหญิงมัยมูนะฮฺ เหล่ามารดาของผู้ศรัทธา (ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยพวกนาง) ซึ่งรายงานว่าพวกนางเคยอาบน้ำญะนาบะฮฺร่วมกับท่านร่อซูลุลลอฮฺ

เพื่อทำความสะอาดจากหะดัษใหญ่ ในภาชนะหนึ่ง รายงานจากท่านหญิงมัยมูนะฮฺชี้ให้เห็นชัดเจนว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ ไม่ได้ปกปิดร่างกาย เพราะรายงานของนางระบุว่า “ท่านจุ่มมือลงในภาชนะแล้วเทน้ำลงบนอวัยวะเพศแล้วชำระล้างมันด้วยมือซ้ายของท่าน” ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตามความคิดเห็นส่วนน้อยของบางคน เป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้เพิกเฉยบางคนที่ต้องการสร้างความยากลำบากโดยการอนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์แต่ห้ามมองอวัยวะเพศ (อัลมุหัลลา, 9/165)

ชัยคฺ อัลอัลบานี กล่าวว่า การห้ามมองนั้นหมายถึงห้ามมองในสิ่งที่จะนำสู่เพศสัมพันธ์ที่หะรอม ดังนั้น เมื่ออัลลอฮฺทรงอนุมัติให้สามีมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาได้แล้ว การที่พระองค์จะทรงห้ามเขามองอวัยวะเพศของนางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สอดรับกัน เป็นไปไม่ได้ (อัสสิลสิละฮฺ อัฎฎออีฟะฮฺ, 1/353)

เกี่ยวกับเฏาะฮาเราะฮฺ (ความสะอาด) ในกรณีนี้ การโอบกอดขณะนอนหลับ ตราบใดที่มิได้ทำให้หลั่งน้ำมะนียฺ (อสุจิ) หรือมีเพศสัมพันธ์ ก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำญะนาบะฮฺ

แต่ถ้ามีการหลั่งน้ำมะซียฺ (น้ำเมือกใสที่หลั่งเองเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ) ทั้งสองต้องชำระล้างอวัยวะเพศและอาบน้ำละหมาด
และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

***อัล กุรอานเป็นศูนย์กลาง***

อัลกรุอานเป็นศูนย์กลาง
มนุษย์เกิดมาบนโลกนี้จำเป็นต้องมีมุมมองที่ถูกต้องและดำเนินชีวิตไปตามมุม มองดังกล่าว อย่างมิอาจผิดพลาดมิได้ ความจำเป็นต้องมีสายตาที่แม่นยำในการมองโลกอย่างถูกต้องนี้เอง ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาวิธีการมองที่ถูกต้อง การสร้างวิสัยทัศน์(Vision)ที่ แม่นยำและถูกต้อง ในทรรศนะของอิสลามนั้น คือการสร้างวิสัยทัศน์ที่ได้รับจากพระผู้สร้าง นี่คือความมั่นใจทางเดียวที่มีต่อทางเลือกต่างๆ

أَلَا يَعْلَمُ مَنْ خَلَقَ وَهُوَ اللَّطِيفُ الْخَبِيرُ
พระผู้ทรงสร้างจะมิทรงรอบรู้ดอกหรือ? พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนผู้ทรงตระหนักยิ่ง(67:14)

พลังอำนาจที่ซ่อนเร้นในอัลกุรอาน
อัล กุรอานได้ถูกนำมาใช้เพื่อพลิกประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติโดยชายที่ชื่อว่ามุฮัม มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม สิ่งนี้สร้างความพิศวงให้กับบรรดานักประวัติศาสตร์ แน่นอนที่สุดในอัล กุรอานย่อมมีพลังซ่อนเร้นบางอย่างที่ยิ่งใหญ่อยู่

لَوْ أَنْزَلْنَا هَذَا قُرْآنَ عَلَى جَبَلٍ لَرَأَيْتَهُ خَاشِعًا مُتَصَدِّعًا مِنْ خَشْيَةِ الَّلهِ
หากเราประทานอัล กุรอานนี้ลงมาบนภูเขาลูกหนึ่ง แน่นอนเจ้าจะเห็นมันนอบน้อมแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความเกรงกลัวอัลลอฮฺ(59:21)
ด้วย อำนาจของอัล กุรอาน มันจึงกลายเป็นคัมภีร์ที่มีพลังอำนาจอย่างยิ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อ อารยธรรมของมนุษย์ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้กล่าวว่า
إِنَّ اللَّهَ يَرْفَعُ بِهَذَا الْكِتَابِ أَقْوَامًا وَيَضَعُ بِهِ آخَرِينَ
แท้จริง อัลลอฮฺได้ยกกลุ่มชนต่างๆด้วยคัมภีร์เล่มนี้ และได้ทำให้กลุ่มชนอื่นๆตกต่ำด้วยคัมภีรเล่มนี้ (รายงานโดยมุสลิม)

ความใฝ่ฝันแบบอัลกุรอาน
อัล กุรอานได้ประกาศเป้าหมาย เจตนา ไว้อย่างแน่วแน่ ว่ามันต้องการเป็นคำตอบของมนุษยชาติ และนำพามนุษย์ไปสู่ทางรอดและความผาสุข
كِتَابٌ أَنزَلْنَاهُ إِلَيْكَ لِتُخْرِجَ النَّاسَ مِنَ الظُّلُمَاتِ إِلَى النُّورِ ...
คัมภีร์เล่มหนึ่งที่เราได้ประทานลงมาแก่เจ้า(มุฮัมมัด)‘เพื่อให้เจ้านำมนุษย์ออกจากความมืดมนทั้งหลายสู่ความสว่าง…’(14.1)
وَنُنَزِّلُ مِنَ الْقُرْآنِ مَا هُوَ شِفَاءٌ وَرَحْمَةٌ لِلْمُؤْمِنِينَ
และเราได้ให้ส่วนหนึ่งจากอัล กุรอานลงมา ซึ่งเป็นการบำบัดและความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา(17:84)

มนุษย์แห่งอัลกุรอาน
อัล กุรอานต้องการหล่อหลอมมนุษย์ให้เป็นมนุษย์แห่งอัล กุรอาน(Qur’anic Man) เป็นทั้งความคิดความอ่าน อารมณ์ ความรู้สึก อิริยาบทการเคลื่อนไหว มนุษย์คนแรกที่ถูกหลอมให้กลายเป็นบุคลิกดังกล่าวคือท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมเมื่อครั้งที่ท่านหญิงอาอีชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮา ถูกถามถึงบุคลิกภาพของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ท่านหญิงตอบว่า
كَانَ خُلُقُهُ الْقُرْآنَ
บุคลิกของท่าน(นบีมุฮัมมัด)ก็คืออัลกุรอาน (เศาะฮีฮฺ อัล อดับ 234 โดยอัล อัลบานียฺ)
บุคลิกแห่งอัลกุรอานของท่านนบีนั้น ถูกสร้างขึ้นมาเป็นแบบให้กับผู้ดำเนินตามท่านในทุกยุคทุกสมัย
لقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ
โดยแน่นอน ในผู้นำสาส์นของอัลลอฮฺมีแบบอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว (33.21)

ยุทธศาสตร์ของอัลกุรอาน
อัล กุรอานจึงบรรจุอุดมการณ์ที่มนุษย์แห่งอัลกุรอานจะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อมัน ชายคนหนึ่งได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ว่า
الرَّجُلُ يُقَاتِلُ حَمِيَّةً وَيُقَاتِلُ شَجَاعَةً وَيُقَاتِلُ رِيَاءً فَأَيُّ ذَلِكَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ .
คน หนึ่งที่ได้ต่อสู้เพื่อพวกพ้อง คนหนึ่งที่ได้ต่อสู้เพื่อความกล้าหาญ คนหนึ่งที่ได้ต่อสู้เพื่อโอ้อวด คนใดเล่าต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ตอบว่า
‏ ‏ مَنْ قَاتَلَ لِتَكُونَ كَلِمَةُ اللَّهِ هِيَ الْعُلْيَا فَهُوَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ
คนที่ต้องสู้เพื่อให้พระดำรัสของอัลลอฮฺสูงส่ง คือผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ (รายงานโดยอัล บุคอรีย)
ตลอดระยะเวลาการต่อสู้ 23 ปีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้นำอัล กุรอานไปใช้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อสร้างสังคมในอุดมคติของอัล กุรอาน


ดังนั้น ลักษณะพิเศษของอัล กุรอาน คือการทยอยลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะต่างๆ เพื่อให้สังคมเติบโตขึ้นโดยเป็นไปตามธรรมชาติ
وَقُرْآنًا فَرَقْنَاهُ لِتَقْرَأَهُ عَلَى النَّاسِ عَلَى مُكْثٍ وَنَزَّلْنَاهُ تَنْزِيلًا
และอัลกุรอาน เราได้แยกมันไว้อย่างชัดเจนเพื่อเจ้าจะได้อ่านมันแก่มนุษย์อย่างช้าๆ และเราได้ ประทานมันลงมาเป็นขั้นตอน (17:106)
แสดง ให้เห็นว่า อัล กุรอานจะถูกนำมาเปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์ในรูปแบบที่เป็นระบอบ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นการนำอุดมการณ์กำหนดใช้ในสภาพความเป็นจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปิดท้าย
อัล กุรอาน เป็นคัมภีร์ที่เก็บรวบรวมเอาวิวรณ์(วะหฺยุ)ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้รับมาจากพระผู้สร้าง ซึ่งมีหน้าที่กำหนดรูปแบบของวิสัยทัศน์ให้แก่มนุษย์เพื่อใช้ในการทำความเข้า ใจโลกและเพื่อจะได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีความหมาย
إِنَّ هَـذَا الْقُرْآنَ يِهْدِي لِلَّتِي هِيَ أَقْوَمُ
แท้จริง อัล กุรอานนี้ นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่ง (9:17)การฟื้นฟูประชาชาติมุสลิมในทุกวันนี้จึงเป็นการกำหนดโปรแกรมทั้งหมดเพื่อ เข้าถึงเนื้อหาและวิธีคิดแบบอัล กุรอาน เพื่อสร้างความผูกพันกับอัล กุรอาน และเพื่อแปรเปลี่ยนแนวคิดในอัล กุรอานสู่โลกที่ปฏิบัติได้จริง
นี่คือความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงมิได้ที่เราต้องนำอัล กุรอานมาเป็น“ศูนย์กลาง” ของทุกสิ่งทุกอย่าง

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มีเพียงฉบับเดียวไม่เคยสังคายนาและไม่มีข้อสงสัย

"อัล-กุรอานมีเพียงฉบับเดียวไม่เคยสังคายนาและไม่มีข้อสงสัย"
เพราะฉนั้นเรามาฟังประสบการณ์โดยตรงจากท่านผู้นี้ครับ

เค้าชื่อ "ยูซุฟ เอสเตล" ชื่อเดิมสคิพ เอสเตล เค้าเกิดในครอบครัวคริสเตียน "บอร์นอะแกน" ที่เคร่งครัดในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา

อืมผมว่า "ไปฟังสำเนียงเค้าเองเลยดีกว่า"

ผมชื่อยูซุฟ เอสเตส ชื่อเดิม สคิพ เอสเตส ผมเกิดในครอบครัวคริสเตียน ‘บอร์นอะเกน’ ที่เคร่งครัดในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา
ผมศึกษาศาสนาทุกศาสนา ยกเว้นศาสนาอิสลาม เพราะผมและบรรดาศาสนาจารย์และมิชชันนารีทั้งหลายที่ผมเคยร่วมเดินทางเผยแพร่คริสต์ศาสนาด้วย ต่างก็เกลียดพวกมุสลิมและศาสนาอิสลามเข้ากระดูก แถมบางคนยังโกหกเพื่อให้ผู้คนเกลียดกลัวอิสลาม
และในปี 1991 พ่อบอกผมว่าจะทำธุรกิจกับมุสลิมชาวอียิปต์ ได้ยินดังนั้น อารมณ์ผมสะดุดทันที ไม่มีทางที่ผมจะทำธุรกิจกับชาวมุสลิมซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งบรรดานักเทศน์สอนว่าพวกมุสลิมไม่เชื่อในพระเจ้า จูบพื้นวันละห้าเวลา และกราบไหว้หินดำ(กะบะฮ์)กลางทะเลทราย แต่พ่อก็หวานล้อมให้ผมพบเจอเขา
และผมก็ได้เจอเขา เขาชื่อมุฮัมมัด ผมจะทำทุกวิถีทางให้เขาเข้าคริสต์ให้ได้

คืนหนึ่งหลังอาหารค่ำเราทุกคนถกกันเรื่องไบเบิล เรื่องความรอด พ่อผมเอาไบเบิลฉบับคิงเจมส์(KJV)
ผมเอาฉบับ Revised Sandard Version(RSV) ในฉบับของผมนี่บรรณาธิการเขียนไว้ชัดเจนว่าไบเบิลฉบับคิงเจมส์มีข้อผิดพลาดและบกพร่องเยอะมากภรรยาเอาฉบับ Good Nood for Modern Man ของจิมมี สแวกการ์ต
ส่วนบาทหลวงก็มีไบเบิลของคาทอลิก แต่ละบทและข้อความเอามาเทียบกับฉบับอื่นไม่ได้ ไปเบิลคาทอลิมี 73 เล่ม ส่วนโปรเตสแตนท์มี 66 เล่ม (ความแตกต่างของจำนวนเล่มอยู่ที่ไบเบิลพันธะสัญญาเก่า(คัมภีร์เตารอต)

ไบเบิลโปรเตสแตนท์พันธะสัญญาเก่าเป็นสารบบปาเลสไตน์หมายถึงคัมภีร์พันธะสัญญาเก่าที่ชาวยิวปาเลสไตน์ใช้ก่อนหน้ายุคพระเยซู(ศาสนทูตอีซา) เป็นภาษาฮิบรูไบเบิลมี 39 เล่ม ส่วนไบเบิลคาทอลิกเรียกว่าสารบบอเล็กซานเดรีย(อียิปต์)เป็นไบเบิลพันธะสัญญาเก่าที่ชาวยิวในอเล็กซานเดรียใช้กันและถูกแปลเป็นภาษากรีกมี 46 เล่ม

ในเดือนกรกฎาคม 1519 ในการโต้วาทีที่เมืองไลพ์ซิก ประเทศเยอรมัน เมื่อโยฮัน เอ็คฝ่ายคาทอลิกอ้างข้อความจากหนังสือแมคคาบีฉบับที่ 2 เพื่อสนับสนุนคำสอนเรื่องไฟชำระ แต่ท่านมาร์ตินคัดค้านโดยให้เหตุผลว่าหนังสือดังกล่าวไม่อยู่ในระบบ ท่านมาร์ตินได้กำหนดให้มีเฉพาะบทที่มีในคัมภีร์ยิวเท่านั้น และตัด 7 เล่มที่ไม่มีในคัมภีร์ยิวออก ท่านมาร์ตินเป็นผู้ก่อตั้งคริสต์โปรเตสแตนท์ ส่วนนิกายที่นับถือตามแนวทางท่านคือนิกายลูเทอรัน)

เมื่อถกกัน ผมก็เพิ่งรู้ว่าบางเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มีเขียนไว้ในไบเบิลฉบับอื่นด้วย
ในช่วงที่เราชาวคริสต์โต้แย้งกันเรื่องไบเบิล มุฮัมมัดได้แต่ยิ้ม นั้งกอดอกฟังเฉย ไม่พูดซักคำ!
ผมก็เลยถามเขา “อัล-กุรอานของคุณมีกี่ฉบับ?”

เขาตอบว่า “อัล-กุรอานมีเพียงฉบับเดียว เป็นภาษาอารบิกที่ยังคงใช้อยู่ทุกวันนี้ และไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงหรือสังคายนาเลยตลอดระยะเวลา 1,400 ปี”

เขายังบอกอีกว่า “ปัจจุบันมีคนนับหมื่นนับแสนสามารถท่องจำอัล-กุรอานได้ทั้งเล่ม ตั้งแต่อัล-กุรอานได้ลงมาให้มนุษย์ มีผู้คนนับล้านจดจำอัลกุรอานได้จากปกหน้าถึงปกหลังทุกตัวอักษรไม่มีผิดเพี้ยน”

และเขายังบอกว่า “และอัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่ไม่มีข้อสงสัย”(เครียร์หมด)
“คัมภีร์นี้ได้ประทานลงมาจากพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก เป็นคัมภีร์ที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น”(อัล-กุรอาน :บทที่ 32 โองการที่ 2)

ของเรามีหลายฉบับ ของเขามีฉบับเดียวแถมบอกว่าเป็นคัมภีร์ที่ไม่มีข้อสงสัย ภาษาดังเดิมของไบเบิลคือภาษาอาราเมอิก เป็นภาษาที่ตายแล้วตั้งหลายศตวรรษแถมต้นฉบับของไบเบิลก็สูญหายไปตั้งหลายศตวรรษก่อน

และในที่สุด ในเดือนกรกฎาคม ปี 1991ผม ,ภรรยา ,พ่อ และบาทหลวงคาทอลิกก็ได้กล่าวชาฮาดาฮ์เข้ารับอิสลาม ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นไปโดยพระประสงค์และพระเมตตาของอัลลอฮ์ผู้นำพวกเราไปสู่สัจธรรมแห่งอิสลาม...

เป็นประสบการณ์จริงจากบ่าวของอัลลฮฺ (ซบ.)
วัสลาม(ขอความสันติจงเกิดแด่มุสลิมีนและมุสลิมะทุกคน ซึ่งเป็นบ่าวของพระองค์)

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Islamic?

ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสำคัญศาสนาหนึ่งของโลก มีประชากรนับถือประมาณ 1,600 ล้านคน นับว่าเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองในโลก พื้นที่รวมของกลุ่มประเทศมุสลิมทั้งหมดประมาณ34,722,286 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ลองจิจูด 141 องศาตะวันออก ทางด้านตะวันออกของเขตพรมแดนประเทศอินโดนิเซีย ทอดยาวไปจนถึงลองจิจูด 17.29 องศาตะวันตก ณ กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล (Senegal) ซึ่งอยู่ในภาคตะวันตกของทวีแอฟริกา จนถึงลุติจูด 55.26 องศาเหนือ บริเวณเส้นเขตแดนตอนเหนือของประเทศคาซัคสถาน ทอดยาวเรื่อยไปจนถึงเส้นเขตแดนทางตอนใต้ของประเทศแทนซาเนีย ที่ละติจูด 11.44 องศาใต้
ในโลกของเรานี้มีจำนวนประเทศกว่า 200 ประเทศ เป็นประเทศมุสลิมกว่า 67 ประเทศ ในประเทศไทยมีศาสนาอิสลามเข้ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ศาสดาของศาสนาอิสลามในสมัยสุดท้ายของทางโลกคือ ศาสดามูฮัมหมัด

ศาสนาอิสลาม คือ ความศรัทธา ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติและจริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดา ที่อัลลอฮฺ ได้ประทานลงมาเป็นผู้นำ เพื่อมาสั่งสอนและแนะนำแก่มวลมนุษยชาติ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เรียกว่า ดีน หรือ ศาสนา นั่นเอง ผู้ที่มีความศรัทธาจะตระหนักอยู่เสมอว่า ชีวิตของเขาได้พันธนาการเข้ากับอำนาจสูงสุดของพระผู้ทรงสร้างโลก ในทุกสถานภาพของเขาจะรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า และมอบหมายตนเองให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ตลอดเวลา เขาเป็นผู้มีจิตใจมั่นคงและมีสมาธิเสมอ
อิสลาม คือ รูปแบบการดำเนินชีวิตทีถูกกำหนดโดยผู้ที่รู้จุดกำเนิดของมนุษมากที่สุดก็คือผู้สร้าง..อัลลอฮฺ คำว่า"อัลลอฮฺ" แปลว่า พระเจ้า ซึ่งเป็นคำเรียกเฉพาะที่แยกออกจากคำในภาษาอาหรับอื่นๆที่มีความหมายว่า พระเจ้า อิสลามเป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การสวามิภักดิ์
ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺ
พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัส-สิลมฺ หมายถึง สันติ โดยนัยว่าการสวามิภักดิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ได้พบกับสันติภาพทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนามนุษยชาติตลอดกาล ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดของมนุษย์จนถึงปัจจุบันและอนาคต

บรรดาศาสนฑูต ในอดีตล้วนแล้วแต่ได้รับมอบหมายให้สอนศาสนาอิสลามแก่มนุษยชาติ ศาสนฑูตท่านสุดท้ายก็คือ ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซล) บุตรของอับดุลลอฮฺ บินอับดิลมุฎฎอลิบ จากเผ่ากุเรชแห่งอารเบีย ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่สาส์นของอัลลอฮฺในช่วงปี ค.ศ. 610-632 เฉกเช่นบรรพศาสนาในอดีต โดยมีมะลักญิบรีล เป็นสื่อระหว่างอัลลอฮฺ (พระผู้เป็นเจ้า)และมูอัมหมัด

พระโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทะยอยลงมาในเวลา 23 ปี ได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นเล่มมีชื่อว่า อัล-กุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตมนุษย์ เพื่อที่จะได้ครองตนบนโลกนี้อย่างถูกต้องตามแนวทางแห่งอิสลามก่อนกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลามนั้นไม่มีคำว่า นิกาย แต่จะใช้คำว่า มัซฮับ แทน (แปลว่า แนวทาง) เนื่องจากแนวทางในแต่ละแนวทางไม่ได้แตกต่างกันมากนักและเป็นสิงที่ศาสนะทูตเคยกระทำไว้ทั้งสิ้น..มันเป็นวิทยปัญาที่ว่าจะมีคนกระทำแบบอย่างของท่านทุกแบบอย่างจนถึงวันสิ้นโลก

หลักการศรัทธา
อิสลามสอนว่า ถ้าหากมนุษย์ พิจารณาด้วยสติปัญญาและสามัญสำนึกจะพบว่า จักรวาลและมวลสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มิได้อุบัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นที่แน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกอุบัติขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ด้วยอำนาจและความรู้ที่ไร้ขอบเขต ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไว้ทั่วทั้งจักรวาล ทรงขับเคลื่อนจักรวาลด้วยระบบที่ละเอียดอ่อน ไม่มีสรรพสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้สาระ
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างประเสริฐจะเป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์จะปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ไปตามลำพัง โดยไม่ทรงเหลียวแล หรือปล่อยให้สังคมมนุษย์ดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง
พระองค์ทรงขจัดความสงสัยเหล่านี้ ด้วยการประทานกฎการปฏิบัติต่าง ๆ ผ่านบรรดาศาสดา ให้มาสั่งสอนและแนะนำมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติ สำหรับการดำเนินชีวิต แน่นอนมนุษย์อาจมองไม่เห็นผล หรือได้รับประโยชน์จากการทำความดี หรือได้รับโทษจากการทำชั่ว ของตน
จากจุดนี้ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ต้องมีสถานที่อื่นอีก อันเป็นสถานที่ตรวจสอบการกระทำของมนุษย์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเป็นความดีพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน แต่ถ้าเป็นความชั่วก็จะถูกลงโทษไปตามผลกรรมนั้น ศาสนาได้เชิญชวนมนุษย์ไปสู่หลักการศรัทธา และความเชื่อมั่นที่สัตย์จริง พร้อมพยายามมผลักดันมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา
หลักศรัทธาอิสลาม
1.ศรัทธาว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า
2.ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ของพระเจ้า
3.ศรัทธาในบรรดาศาสนฑูตต่างๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ และนบีมูฮัมหมัด (ซล.) เป็นศาสนฑูตคนสุดท้าย
4.ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ
5.ศรัทธาในวันสิ้นโลก
6.ศรัทธาว่าความดีความชั่วมาจากอัลลอฮฺ
หลักบัญญัติ(ปฏิบัติ)ของอิสลาม
1.การปฏิญานตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺและมูฮัมหมัดเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮฺ
2.ดำรงการละหมาด วันละ 5 เวลา
3.จ่ายซะกาต
4.ถือศีลอดในเดือนรอมาฎอรทุกปี
5.บำเพ็ญฮัจญ์ หากมีความสามารถ ณ นครมะกะห์ ประเทศซาอุดิอารเบีย

ค่ายคุณธรรม-จริยธรรม ณ มัสยิดกลาง จ.กระบี่

โรงเรียนกันตังพิทยากร สพท.ตรัง เขต2 โครงการอบรมคุณธรรม-จริยธรรม นักเรียนมุสลิมตามนโยบาย 15 ปีเรียนฟรีอย่างมีคุณภาพ ณ มัสยิดกลาง จ.กระบี่ เดินทางจากจังหวัดตรังเพื่อมาเข้าค่ายคุณธรรม-จริยธรรม ถึงจังหวัดกระบี่แม้ว่าเส้นทางจะไม่ไกลมากแต่ก็เป็นการแก้ไขปัญหาเยาวชนในปัจจุบันที่เดินออกจากแนวทางที่อัลลอฮฺมากขึ้น โดยการเข้าค่ายครั้งนี้นับได้ว่าเป็นครั้งที่ 29 แล้วโดยครั้งนี้ทางผู้จัดงานได้เลือกพื้นที่จังหวัดกระบี่เป็นสถานที่จัดงาน ณ มัสยิดกลางนั่นเอง

*** นักธุรกิจมาเลเซียเข้าเยี่ยมคารวะคณะกรรมการกลางฯ ***

เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ หนองจอก กรุงเทพฯ นายมูฮัมมัด ฮิชาม ตาลิบ ผู้บริหารกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเครื่องกระป๋อง จากมาเลเซีย พร้อมคณะได้เข้าเยี่ยมคารวะคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อพูดคุยและแนะนำตัวในการนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย โดยมีท่านเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย นายพิเชษฐ์ สถิรชวาล นายสมัคร สำเภารัตน์ รองเลขาธิการฯ นายอนิรุธ สมุทรโคจร ผู้อำนวยการสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ

ข่าวจากคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย

*-*ปธ.อิสลามกระบี่เตือนบริโภคอาหารในห้าง*-*

ปธ.อิสลามประจำจังหวัดกระบี่เตือนผู้บริโภคถึงการบริโภคอาหารในห้าง ให้ดูป้าย "ฮาลาล" -วอนผู้ประกอบการในการเคร่งครัดเรื่องดังกล่าว
นายแอ กิ่งเล็ก ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ..ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องชาวมุสลิมจังหวัดกระบี่ว่า ร้านอาหารมุสลิมในห้างสรรพสินค้าใช้ภาชนะใส่อาหาร เช่น จาน ช้อน และถ้วยกับร้านอาหารที่ไม่ใช่ร้านอาหารฮาลาล เกรงว่าอาหารที่กินไม่แน่ใจว่ารับประทานแล้วถูกต้องตามหลักศาสนาหรือไม่ จึงขอให้ทางคณะกรรมอิสลามฯ เข้าไปดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด

ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดกระบี่ ยังกล่าวอีกว่า จากการที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ผลปรากฎว่า ร้านอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ในห้างดังกล่าว เมื่อลูกค้ารับประทานอาหารเสร็จ พนักงานได้นำภาชนะไปใส่รวมในรถเข็น หลังจากนั้นนำไปล้างรวม ณ ที่เดียวกัน ทั้งร้านอาหารมุสลิมและร้านอาหารที่ไม่ใช้มุสลิม จึงขอเตือนเจ้าของห้าง และผู้ประกอบการร้านค้าอาหารให้ใช้ภาชนะเฉพาะร้านอาหารอิสลาม เพราะยังไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม หรือไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานอาหาร "ฮาลาล"

“อย่างไรก็ตามได้มีการเสนอให้ผู้ประกอบการแยกภาชนะให้ชัดเจนระหว่างร้านอาหารมุสลิมกับร้านที่ไม่ใช่มุสลิม แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข จึงขอเตือนลูกหลานชาวมุสลิมว่าไม่ควรไปทาน เพราะยังมีทางเลือกอีกมากมาย ทั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปขัดขวางการประกอบธุรกิจของบุคคลใด แต่เมื่อรู้ว่าไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา จึงต้องแจ้งเตือนพี่น้องชาวมุสลิมรับทราบ ส่วนการจะห้ามไม่ให้จำหน่ายเลยนั้นคงห้ามไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ก็มีหน้าที่แจ้งเตือนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายไก่ทอดที่ไม่ผ่านการรับรอง “ฮาลาล” เนื่องจาก เนื้อไก่ที่นำมาประกอบอาหารนั้น นำมาจากกรุงเทพฯ และยังไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน จึงยังไม่สามารถบริโภคได้” นายแอ กล่าว.

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มหาวิทยาลัยแห่งประชาคมคนมุสลิมไทย

มหาวิทยาลัยอิสลามแห่งแรกของเมืองไทย
เพื่อคนอิสลามไทย เพื่อแนวทางที่ถูกต้องของอิสลามไทย

มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยนักวิชาการมุสลิมและผู้ทรงคุณวุฒิด้านอิสลามศึกษาในภูมิภาค ซึ่งมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการส่งเสริมและพัฒนาด้านอิสลามศึกษาและศาสตร์แขนงอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมและความคาดหวังในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาภูมิภาค
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านอาคาร และสิ่งก่อสร้างจากธนาคารอิสลามเพื่อการพัฒนา (Islam Development Bank) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ ณ กรุงเจคดาห์ ประเทศซาอุดิอารเบีย และได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านการบริหารจากองค์การสงเคราะห์มุสลิมนานาชาติ (International Islamic Relief Organization) ประเทศซาอุดิอารเบีย

นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยอิมามูหัมมัด บินซาอูด นครริยาตประเทศซาอุดิอารเบียเป็นฝ่ายที่ปรึกษาด้านวิชาการและพัฒนาหลักสูตร ซึ่งทางมหาวิทยาลัย เปิดสอนในหลักสูตร
-คณะอิสลามศึกษา
1.หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาซะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม)
2.หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาอุศุลุดดีน (หลักการศาสนาอิสลาม) หลักสูตรนานาชาติ
-คณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์
1.หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอาหรับ (หลักสูตรนานาชาติ)
2.หลักสูตรรัฐประศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
3.หลักสูตรเศรษฐศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงินและการธนาคาร
4.หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ (หลักสูตรนานาชาติ)
5.หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษามาลายู (หลักสูตรนานาชาติ)
6.หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ
-คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1.หลักสูตร Bachelor of Technology Program in Computer Science
2.หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์


ไม่ใช่ว่าจะช่วยเขาโฆษณานะครับ...แต่อยากให้พวกเราชาวมุสลิมในเมืองไทยได้เรียนวิชาการไปพร้อมๆ กับหลักศาสนาและอยู่บนแนวทางที่พระองค์ทรงยินดี ทรงรับดุอาฮฺจากเรา และมีจิตใจที่อีหม่านต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บของมหาวิทยาลัย : http://www.yiu.ac.th/