วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ดุอาอ์ในคืนลัยละตุลก็อดรฺ

หะดีษบทที่ 31
ดุอาอ์ในคืนลัยละตุลก็อดรฺ



عَنْ عَائِشَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهَا قَالَتْ : قُلْتُ : يَا رَسُولَ اللهِ، أَرَأَيْتَ إِنْ عَلِمْتُ أَيَّ لَيْلَةٍ لَيْلَةُ الْقَدْرِ، مَا أَقُولُ فِيهَا؟، قَالَ : «قُولِي اللَّهُمَّ إِنَّكَ عُفُوٌّ تُحِبُّ الْعَفْوَ فَاعْفُ عَنِّي». (ابن ماجه رقم 3840، صحيح الجامع الصغير للألباني رقم4423)

ความว่า จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ได้ถามท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า “บอกฉันเถิด ถ้าหากคืนใดฉันรู้ว่าเป็นลัยละตุล ก็อดรฺ จะให้ฉันกล่าวดุอาอ์ใด?” ท่านรอซูลตอบว่า “จงกล่าวว่า อัลลอฮุมมะ อินนะกะ อะฟุววุน ตุหิบบุล อัฟวะ ฟะอฺฟุ อันนี (โอ้องค์อภิบาลแห่งข้า แท้จริงพระองค์นั้นทรงเป็นผู้อภัยยิ่ง พระองค์ทรงรักการอภัย ดังนั้นได้โปรดอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด)” (รายงานโดย อิบนุ มาญะฮฺ หมายเลข 3840 ดู เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ ของ อัล-อัลบานีย์ หมายเลข 4423)

คำอธิบายหะดีษ
คืนลัยละตุลก็อดรฺเป็นคืนที่มีความประเสริฐและมีเกียรติยิ่ง ความประเสริฐของค่ำคืนนี้ยิ่งใหญ่กว่าเดือนอื่นเป็นพันเท่า บางครั้งทั้งผู้ที่เป็นชายและหญิงไม่ทราบว่าในค่ำคืนนั้นควรอ่านอะไรกันบ้าง หรือว่าไม่มีคำสอนจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บ้างเลยหรือ? ด้วยเหตุนี้ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ขอให้ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สอนดุอาอ์ในคืนลัยละตุลก็อดรฺ เนื่องจากดุอาอ์ของท่านรอซูลนั้นเป็นดุอาอ์ที่ดีที่สุด หากเราสังเกตแล้ว จะเห็นว่าดุอาอ์ที่ท่านรอซูลวอนขอต่ออัลลอฮฺนั้นเป็นดุอาอ์ที่เกี่ยวข้องกับการขออภัยต่อัลลอฮฺผู้ทรงให้อภัย ตรงนี้จะเห็นได้ว่าการขอให้อัลลอฮฺลบล้างบาปต่างๆ ให้หมดไปนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง เนื่องจากบาปนั้นเป็นสิ่งที่กีดกั้นมิให้บุคคลเข้าในสรวงสวรรค์ และเป็นเหตุต้องให้เข้านรก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมยิ่งที่เราทุกคนควรมีการขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺในค่ำคืนที่ทรงประเสริฐยิ่ง หวังเพื่อจะได้เป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องจากบาปทั้งหลาย แท้จริงแล้วอัลลอฮฺทรงรักผู้ที่ขออภัยโทษและบริสุทธิ์จากบาปต่างๆ


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จาก website: Islam house

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

การอาบน้ำละหมาดสามารถอาบน้ำละหมาดด้วยน้ำทะเลได้หรือไม่ เพราะเหตุใด?

การละหมาด 5 เวลา ของมุสลิมก่อนที่จะทำการละหมาด มุสลิมทุกคนต้องชำระร่างกายให้สะอาดก่อน โดยการอาบน้ำละหมาดนันเอง

ซึ่งจากคำถามที่ว่าจะอาบน้ำละหมาดด้วยน้ำทะเลนั้นได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้" ยกตัวอย่างจากฮาดิษนบีคือ มีชายคนหนึ่งเดินอยู่ที่ทะเลโดยขาเขาได้โดนน้ำทะเล คนอื่นเข้าใจว่าไม่ได้ แต่นบีบอกว่าน้ำนั้นสะอาดและทะเลก็สะอาดเหมือนกัน แม้จะเป็นน้ำเค็มก็ตามสามารถนำมาใช้อาบน้ำละหมาดได้


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

การดูฤกษ์ยามในอิสลามเช่น การซื้อรถหรือการเปิดธุรกิจ มีหรือไม่?

การดูฤกษ์ยามนั้น ความจริงในศาสนาอิสลามก็มีฤกษ์ยามเหมือนกัน เช่น ฤกษ์ยามที่นบีตั้งกองทหารในสงครามบาดัดจะต้องใกล้กับแหล่งน้ำ จะไปจัดตั้งทิศทางไหนก็จะดูว่าอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ เป็นต้น ซึ่งกรณีนี้เป็นการพิจารณาตามข้อเท็จจริงหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่จะดูฤกษ์เฉยๆ ในการที่จะกำหนดฤกษ์ยามให้เป็นวันนั้นวันนี้ไม่จำเป็น เอาวันที่เป็นวันสะดวกก็เพียงพอ หรือที่เรียกว่า "ฤกษ์สะดวก"

และอีกตัวอย่างหนึ่ง อย่างเช่น มุสลิมจะสร้างบ้านใหม่ ก็สามารถดูว่าช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝนหรือมีฝนตกอยู่บ่อยหรือเปล่า แม้เวลาในการทาสีบ้านก็ไม่ใช่ว่าฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตกแล้วมาทาสีบ้าน ซึ่งจะพิจารณาดูจากสภาพอากาศมากกว่า ฤกษ์ยามในอิสลามจึงไม่มี

นอกจากดูฤกษ์ยามการสร้างบ้านแล้ว การจะลงเสาเอกหรือเสาโทเพื่อสร้างบ้านอะไรแล้วสามารถทำบุญได้ แต่ไม่ควรทำบุญเพื่อกำหนดเวลาและลงเสาเอกตามเวลาที่ได้ฤกษ์ยามมาใช้ประกอบในงานบุญ เพียงแค่ทำงานบุญแล้วอ่านขอดุอาอฺจากเอกองค์อัลลอฮฺก็เป็นการกระทำที่เหมาะสมแล้ว มุสลิมไม่จำเป็นต้องมีดอกไม้ พวงมาลัยหรือผ้าขาวม้าไปแขวนตามเสาเอก "ถ้าทำโดยมีองค์ประกอบดังกล่าวถือว่าทำไม่ได้เด็ดขาด"

ซึ่งในสมัยก่อนนั้นการที่มีผ้าขาวม้าแขวนตามเสาเอก ของบ้านที่กำลังสร้างใหม่นั้น ก็เพราะมาจากกุศโลบายว่า ผ้าขาวม้าที่แขวนอยู่บนเสาเอกก็เพื่อมอบให้แก่ช่างสร้างบ้านนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมทางศาสนาพุทธหรือต่างศาสนิกไปแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเรามุสลิมทั้งหลายไม่สมควรทำ


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์ "กัมปงไทย"

หากเพื่อนร่วมงานมีซองงานบุญทอดผ้าป่ามุสลิมสามารถให้เงินใส่ซองงานผ้าป่าได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ.....(หากมุสลิมคนนั้นทำงานอยู่ในสังคมที่มีชาวพุทธมากกว่าอิสลามหลายเท่า เหมือนในสังคมการทำงานบังคับทางอ้อม) หากมุสลิมได้ให้เงินใส่ซองไปจะบาปหรือไม่?

สังคมการทำงานของมุสลิมในปัจจุบัน ที่ต้องร่วมงานกับชาวพุทธซะส่วนใหญ่ก็ต้องมีเพื่อนร่วมงานเป็นชาวพุทธยื่นซองผ้าป่าให้แก่มุสลิม แต่มุสลิมก็ไม่สามารถใส่เงินในซองทำบุญงานผ้าป่าได้ ซึ่งเราสามารถปฏิเสธ พร้อมอธิบายแก่เพื่อนร่วมงานชาวพุทธได้โดยอธิบายว่า "เราเป็นมุสลิม ในการร่วมนำเงินใส่ซองทำบุญงานผ้าป่าส่วนนี้เราทำไม่ได้ ขอเป็นเรื่องส่วนอื่นได้ไหมที่ไม่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนา"

และถ้าการบริจาคเงินที่ไม่ใช่งานบุญผ้าป่า ซึ่งการขอรับบริจาคเพื่อที่จะสร้างศาลาหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ มุสลิมสามารถทำได้ และขอย้ำว่าการให้เงินใส่ซองงานบุญทอดผ้าป่าทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะการทำบุญทอดผ้าป่านั้น เป็นงานบุญที่มีการทำพิธีและข้อปฏิบัติของศาสนาพุทธโดยเฉพาะ

หากมุสลิมให้เงินใส่ซองงานบุญผ้าป่านั้น ถือว่าเป็นการสนับสนุนการงานและกิจกรรมทางศาสนาพุทธ ฉะนั้นมุสลิมสามารถอธิบายได้ อธิบายแบบดีๆ ให้ชาวพุทธเข้าใจได้ว่าการช่วยเหลือนั้นถ้ามันเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนานั้นแล้วเราไม่ร่วมและไม่สนับสนุน

แต่หากการขอบริจาคเงินในงานสังคมทั่วไปไม่ว่าจะเป็นการทำบุญให้แก่บ้านพักคนชรา หรือว่าไปเลี้ยงอาหารให้เด็กกำพร้านั้น มุสลิมทำได้อย่างสบายใจและเหมาะสมด้วย


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

*-*ในศาสนาอิสลามอนุญาตให้ดูหนัง ฟังเพลง ได้หรือไม่เพราะเหตุใด?*-*

ส่วนของการดูหนังฟังเพลงนั้น ต้องดูว่าเพลงที่จะฟังนั้นเป็นเพลงที่มีเนื้อหาดนตรีที่เร่งเร้ามุสลิมลืมอัลลอฮฺหรือเปล่า เพราะถ้าเร่งเร้าให้ลืมอัลลอฮฺ เพลงนั้นก็ฟังไม่ได้

แต่หากเป็นเพลงที่มีเนื้อหาชักชวนมุสลิมให้นึกถึงและเข้าใกล้อัลลอฮฺนั้นฟังได้ อย่างเช่น นาซีดต่างๆ นั้นฟังได้ เพราะเนื้อเพลงไม่ได้พยายามทำให้เราลืมอัลลอฮฺ และอาจารย์ซารีฟมีคำแนะนำว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ดนตรีหรือเซาวด์ หรือเครื่องเล่นเสียงเยอะ แต่หากใช้เพียงกลองแบบหน้าเดียวก็จะดีกว่า

ข้อแนะนำจาก Blogger : ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่ควรฟังเพลงไม่ว่าจะกรณีใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ควรกระทำคือการอ่านอัล-กรุอ่าน การกล่าวซีเกร หรืออย่างอื่นที่เกี่ยวกับการรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า "อัลลอฮฺ"


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

-ดอกเบี้ยที่เกิดจากการฝากเงินในธนาคาร เป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิมหรือไม่ ในการไปทำบุญ เพราะเหตุใด?

ดอกเบี้ยที่เกิดจากการฝากเงินในธนาคารไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิม ซึ่งการได้รับดอกเบี้ยตามปกติในธนาคารทั่วไปนั้นรับมาไม่ได้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น

แต่มีนักวิชาการ 3 กลุ่ม ซึ่งมีทรรศนะที่ต่างกันแบ่งเป็น 3 ทรรศนะด้วย ทรรศนะของกลุ่มแรกคือ รับดอกเบี้ยไม่ได้เด็ดขาด มีความหมายว่าไม่ว่าจะเป็นการฝากในธนาคารเฉยๆ หรือการฝากเงินในธนาคารแล้วการได้รับดอกเบี้ย และการนำดอกเบี้ยไปทำบุญหรือนำเอามาใช้ทำอย่างอื่นไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่การรับดอกเบี้ยยังไม่ได้เลย

ส่วนทรรศนะของนักวิชาการกลุ่มที่สอง นักวิชาการได้อธิบายว่า สามารถฝากเงินในธนาคาร และดอกเบี้ยที่ได้จากธนาคารสามารถเอามาได้ แล้วก็สามารถเอาไปทำบุญได้ด้วย ซึ่งทรรศนะนี้เป็นทรรศนะที่มีน้อยมาก ส่วนทรรศนะสุดท้าย นักวิชาการได้อธิบายว่า เอาดอกเบี้ยจากธนาคารได้ แต่อย่านำเงินดอกเบี้ยจำนวนนั้นมาใช้จ่ายภายในครอบครัว ควรนำไปใช้ในส่วนสาธารณะประโยชน์ เช่น นำเอาไปใช้ในการสร้างถนน สร้างกำแพง สร้างศาลาต่างๆ ได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ถ้าเราบอกว่าเราไม่เอา คนในธนาคารก็จะเอาดอกเบี้ยไปใช้เอง

อาจารย์ซารีฟยังแสดงความคิดเห็นในทรรศนะที่สามว่า "ผมยังถือว่ากรณีที่สามมันยังจำเป็น ที่เราสามารถเอาเงินที่เป็นดอกเบี้ยไปใช้สร้างสาธารณะประโยชน์ แต่เวลา ณ วันนี้ เรามีธนาคารอิสลามแล้ว ถ้าหากใครไม่มีทางเลือก ซึ่งเงินที่เขาเคยฝากอยู่ไม่ได้ฝากภายใต้ธนาคารอิสลาม ก็สามารถเอาเงินดอกเบี้ยนำมาใช้สาธารณะประโยชน์ได้ แต่อย่าเอามาใช้ภายในครอบครัวเด็ดขาด"

ทรรศนะที่สาม ที่กล่าวมานั้น ไม่ใช่ทรรศนะที่ได้รับการอนุมัติ แต่สามารถนำมาทำให้เบาบางลง ซึ่งกล่าวได้ว่า ดอกเบี้ยที่ได้นั้น มันเป็นดอกเบี้ยที่ได้มาตามหแตโดยทั่วไปอยู่แล้ว จากการที่เราฝากธนาคารนั้นเอง แล้วนำมาใช้ประโยชน์จะดีกว่า


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

สามีมุสลิมที่มีภรรยาแล้วไปมีภรรยาอีกคน โดยไม่ได้บอกกล่าวภรรยาคนแรก ตามหลักศาสนาอิสลาม ภรรยาขออย่าผิดไหม เพราะเหตุใด?

สามีที่ไปแต่งงานใหม่กับหญิงอีกคน การบอกหรือไม่ได้บอกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะไปบอกกล่าวภรรยาคนแรกเลย และสามีก็ไม่ผิดด้วยถ้าหากมีภรรยาคนที่สองโดยไม่ได้บอกภรรยาคนแรก และการที่ภรรยาจะมาขอสามีหย่าถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด การที่ภรรยาคนแรกจะนำคำกล่าวอ้างในการขออย่า จากการที่สามีไปมีภรรยาอีกคนหรือแต่งงานใหม่กับหญิงอีกคนแล้วไม่บอกภรรยาคนแรกนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด

และเหตุผลที่สามีสามารถแต่งงานใหม่หรือมีภรรยาอีกคนโดยไม่ได้บอกภรรยาคนแรกนั้นก็เพราะตามหลักศาสนาอิสลามอนุญาตให้มีการแต่งงานได้เกินกว่า 1 คน (หรือ 1 ครั้ง) ซึ่งก็มีเหตุผลในการใช้อ้างตามหลักศานาอยู่มากมาย และตามหลักศาสนาอิสลามก็ไม่ได้บังคับหรือระบะว่าให้ทำการขออนุญาตหรือแจ้งให้ภรรยาคนก่อนๆ ทราบในการแต่งงานใหม่ของสามีนั้นเอง


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

ถ้ามุสลิมไปร่วมงานศพของชาวพุทธ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานเราสามารถให้เงินช่วยงานศพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด?

มุสลิมที่มีเพื่อนร่วมงานที่เป็นพุทธแล้ว มุสลิมสามารถร่วมงานของชาวพุทธได้ การให้เงินใส่ซองสามารถให้ได้และเหมาะสมด้วย แต่ห้ามให้พวงหรีด ซึ่งการช่วยงานศพโดยการใส่เงินในซองจะเหมาะสมกว่า เพราะเงินใส่ซองนั้นให้ญาติของผู้ตาย ดังนั้นการให้เงินใส่ซองนั้นถือว่าให้ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพุทธก็ตาม

เพราะในศาสนาอิสลามถือว่าชาวพุทธเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน อาจารย์ซารีฟบอกว่า "อัลลอฮฺบอกว่า วาลาเกาะกัรรอมนานบีอาดัม" ความว่า เราได้ให้เกียรติต่อมนุษยชาติ มนุษย์นั้นอัลลอฮฺไม่ได้บอกว่าศาสนาใด เพียงแต่ว่าเราอย่าไปเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของเขา สมมุติว่า เขาเสียชีวิตเราควรจะไปเยี่ยมเขา เอาเงินไปให้เขาได้ ยิ่งชาวพุทธคนนั้นเป็นเพื่อนบ้านเรา เพื่อนที่ทำงานเรา พ่อแม่ของเพื่อนร่วมงานชาวพุทธเสียชีวิตเราสามารถไปงานได้ แต่ไม่แนะนำให้เอาพวงหรีดไปให้ และห้ามไปทำพิธีร่วมกับเขา

บทความจาก blogger : การที่เราให้เงินช่วยเหลือ คือ การช่วยเหลือสัตว์โลกด้วยกัน การช่วยเหลือด้วยการเป็นเพื่อนร่วมโลก แต่การช่วยเหลือนี้เราต้องแยกออกจากการช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหรือที่เป็นพิธีกรรมโดยตรง เพราะอัลลอฮฺได้แจ้งไว้ในอัล-กรุอานอย่างชัดเจนว่า พิธีกรรมทางศาสนานั้นต้องทำของศาสนาใครศาสนามันอย่าเอามารวมกัน อย่าคิดว่าเมิงทำของกูได้-กูทำของเมิงได้ต้องต่างคนต่างทำของตัวเอง


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

ผลงานในอดีตของจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ของไทย

สมาชิกวุฒิสภา (ปี พ.ศ.2539-2543) คณะกรรมการอิสระไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ เหตุการณ์ตากใบ ประธานชมรมคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ ประธานคณะทำงานปรับปรุงยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยครอบครัวและมรดกตามหลักการอิสลาม กรรมการจัดทำหลักสูตรและตำราอิสลามศึกษากรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ กรรมการจัดทำหลักสูตรและตำราอิสลามศึกษา สมาคมคุรุสัมพันธ์ คณะกรรมการส่งเสริม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาลัยอิสลามยะลา

สำหรับการศึกษาดูงานนั้นท่านก็มีโอกาสได้เดินทางไปดูงานหลากหลายประเทศ เช่น ประเทศซาอุดิอาระบีย อังกฤษ อียิปต์ เกาหลี จอร์แดน ฮ่องกง บรูไน มาเลเซีย อิหร่าน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสาธารณรัฐประชาชนจีน

นอกจากนี้แล้วท่านจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 นายอาศิส พิทักษ์คุมพล ได้กล่าว ขอบคุณคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ซึ่งบรรดาผู้มีรายชื่อทุกท่านล้วนมีความรู้ความสามารถ การที่ตนได้รับฉันทานุมัติเห็นชอบ ไม่ได้หลายความว่า ตนเก่ง หรือดีกว่าท่านทั้งหลาย หากตนทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี ขอให้ท่านให้การสนับสนุนหากตนทำสิ่งมิชอบ ขอให้ท่านยับยั้งท้วงติง ตนต้องขอความร่วมมือจากทุกคน เมื่อท่านให้ความสนับสนุนมาแล้ว ขอพรให้ตนอยู่ในหน้าที่นี้ในทางที่ถูกที่ควร การที่ได้รับเป็นจุฬาราชมนตรีนั้นอีกนัยนึงถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญคือเราจะต้องดูแลทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับศาสนาที่เกิดขึ้นกับสังคมมุสลิมอย่างถูกต้อง เหมือนกับว่าตำแหน่งที่ได้มานั้นในอิสลามถือว่าเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ และก็มีการสอบสวนในวันอาคิเราะห์ฉะนั้นเวลาทำอะไรต้องคิดไตร่ตรองให้ดี เพราะอิสลามเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนขอให้ทุกท่านร่วมมือกันทำความดี ประคองกันไป อยู่บนความถูกต้องเพื่อไปสู่หนทางที่ดีตลอดไป

ทุกคนคงทราบประวัติความเป็นมาของท่ายอย่างคร่าวๆ กันแล้ว ถึงแม้ว่าท่านเป็นเด็กนักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่เรียนปอเนาะ แต่การใช้ชีวิตแบบเข้าใจสังคม ตลอดจนผลงานที่ผ่านมาเพื่อสังคมในตำแหน่งประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาและวันนี้ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชีวิตท่านเป็นเกียรติประวัติของครอบครัว และพี่น้องประชาชนมุสลิม เพราะท่านได้กลายเป็นผู้นำสูงสุดในศาสนาอิสลามประจำประเทศไทย ในตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ของไทยนั่นเอง


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

ตำแหน่งในปัจจุบันของจุฬาราชมนตรีคนที่ 18

ท่านเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำหวัดสงขลา รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คนที่ 1 สมาชิกสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประธานคณะกรรมการยุติธรรม ความเสมอภาพและความมั่นคง ในสมาชิกสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ คณะกรรมการส่งเสริมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์กัมปงไทย

ขอแสดงความยินดีกับนายอาศิส พิทักษ์คุมพล "จุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ของไทย"

สำนักข่าวไทยมุสลิมและหนังสือพิมพ์กัมปงไทยขอแสดงความยินดี กับ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล ประธานกรรมการอิสลามจังหวัดสงขลา ที่ได้รับเลือกเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ของไทยและเป็นแรกของภาคใต้ ต่อจากนายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ที่ถึงแก่อนิจกรรม

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกันแล้วว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมานั้นได้มีการเลือกตั้งจุฬาราชมนตรี คนที่ 18 แทนนายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ที่ถึงแก่อนิจกรรม ตามพระราชบัญญัติบริหารกิจการศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 ผลการเลือกตั้ง ปรากฎว่านายอาศิส พิทักษ์คุมพล ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นจุฬาราชมนตรี คนที่ 18 ซึ่งเป็นคนไทยมุสลิมในภาคใต้คนแรก ที่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้

ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีถือได้ว่าเป็นผู้นำกิจการศาสนาอิสลาม ที่มีตำแหน่งสูงสุดในประเทศไทย มีหน้าที่ที่สำคัญประกอบด้วย ให้คำปรึกษาและความเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบัญญัติทางศาสนา ประกาศผลการดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันสำคัญทางศาสนา และออกประกาศเกี่ยวกับการวินิจฉัยตามบัญญัติทางศาสนาอิสลาม ฯลฯ ซึ่งการได้รับตำแหน่งจุฬาราชมนตรีที่เพิ่งได้มานี้ จะยังคงไม่สมบูรณ์ในตำแหน่งและไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ ที่พี่น้องมุสลิมต้องการให้แก้ไขได้ทันที นอกจากจะได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระมหากษัตริย์ จึงจะดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

และตำแหน่งจุฬาราชมนตรี คนที่ 18 ของพี่น้องมุสลิมไทยนั้น ถือว่าเป็นที่น่ายินดีมากที่เราได้นายอาศิส พิทักษ์คุมพล เป็นจุฬาราชมนตรี เพราะถ้าหากเราพูดถึงความพร้อมในหน้าที่ก็จัดว่าอยู่ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม กล่าวคือด้วยวัยวุฒิ 63 ปี ถือว่าไม่อาวุโส ไม่อ่อนวัย จนเกินไปสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้คล่องตัวสะดวก ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ผู้นำต้องมีความพร้อมทางด้านนี้ เพราะหากจุดนี้ผ่าน ท่านก็สามารคถดูแลบรรดาพี่น้องมุสลิมทั่วทุกภูมิภาพในประเทศไทยได้อย่างใกล้ชิดและทั่วถึง ถึงแม้ท่านจะเป็นคนใต้คนแรกที่มาดำรงตำแหน่งนี้ ก็ใช่ว่าเรื่องแปลก เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่หนใช้ภาษาอะไร ในความเป็นมุสลิมนับถือศาสนาอิสลามเราต่างก็มีพระองค์อัลลอฮฺองค์เดียวกันและเชื่อว่าท่านจะฬาราชมนตรีคนใหม่นายอาศิส พิทักษ์คุมพล คือความหวังของคนไทยมุสลิมทุกคน

เรามาทราบประวัติ และผลงานของท่านจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ทั้งปัจจุบันอดีตการศึกษาดูงานของท่านพร้อมๆ กัน

นายอาศิส พิทักษ์คุมพล เกิดเมื่อ พ.ศ.2490 ปัจจุบันท่านอายุ 63 ปี เป็นคนตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา บิดาฮัจญีอิสมาแอล เบ็ญสะอีด มารดาอามีนะห์ เบ็ญสะอีด มีครอบครัวและมีบุตรด้วยกัน 4 คน ผู้ชาย 3 คน ผู้หญิ่ง 1 คน สำหรับการศึกษานั้นท่านศึกษาที่ สถาบันการศึกษาปอเนาะในจังหวัดสงขลาและปัตตานี

ถึงแม้ท่านอาจจะไม่ใช่บุคคลที่จบการศึกษาจากเมืองนอกแต่ความสามารถของท่านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา ภาษานั้นล้นเหลือ เพราะท่านเป็ฯคนที่ชอบอ่านหนังสือ ศึกษาอยู่ตลอดเวลาเพราะการศึกษานั้นไม่มีที่สิ้นสุด และยิ่งไปกว่านั้นท่านพูดกับทีมงานสำนักข่าวไทยมุสลิมเมื่อทุกคนฟังแล้วจะรู้สึกดีไปตามๆกัน เพราะท่านกล่าวว่า ท่านโชคดี มีบุญที่ท่านได้อยู่กับบุคคลที่มีความรู้มาโดยตลอด และท่านก็สามารถนำความรู้นั้นมาปรับใช้กับชีวิตและการทำงานของท่าน


muslim hot report : รายงาน
เนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์กัมปงไทย

วันที่ "Social Network" ปลุกศรัทธามุสลิม (ตอนจบ)

ต่อจากตอนที่แล้ว

อย่างไรก็ดี เราคงพึ่งเจ้าของโซเชียลเน็ตเวิร์กให้กระทำต่างๆ ไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่ดีที่สุดคือ เราต้องสร้างเกราะคุ้มกันให้งสังอิสลาม สร้างเกราะคุ้มกันให้กับเยาวชนมุสลิมทุกคน ท่างกลางการเจริญรุดหน้าของโลกใบนี้ เราคงหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอกับการต้องผจญกับคนที่ต่อต้านอิสลามและบิดเบือนอิสลาม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความรู้ศาสนากับลูกๆ หลานๆ ของเราซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ใช่แค่เก็บไว้ในสมองว่ารู้ แต่ต้องถูกนำมาปฏิบัติและถูกนำออกมาเผยแพร่ให้บุคคลอื่นๆ ชักชวนกันสู่หนทางแห่งอิสลาม หนทางสู่การตอบแทนแห่งโลกหน้าโลกอาคิเราะห์ ในขณะที่มีคนใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กทำลายล้างคุณธรรมความดี เราก็ต้องใช้มันนี่ละซึ่งมันมีประโยชน์อยู่มาก มาใช้ในการเผยแพร่อิสลามที่สวยงาม ดีงาม ถูกต้องสู่ค่ทั่วโลก เช่น กลุ่มนักวิชาการหรือนักเคลื่อนไหวด้านศาสนาต่างๆ ควรหันมาให้โซเชียลเน็ตเวิร์กในการดะวะห์ ตับลีฆ เชิญชวนคนทำอะม้าลอิบาดะห์ อาจจะสื่อสารผ่านทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊คก็ได้ ซึ่งจะทำให้เราสื่อสารได้กับคนจำนวนมากดังนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นมีผลต่อความคิดของคนในสังคมออนไลน์

ส่วนมันจะสะท้อนหรือชักจูงให้คนคิดเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ทุกคนและวิจารณญาณในการรับรู้เข้าใจข้อมูลของแต่ละคนที่เข้าไปอ่านหรือเข้าไปเล่น และที่สำคัญที่สุด ทุกอย่างมันมีกรอบมีขอบเขตของมันในเสรีภาพที่หลายๆ คนกล่าวอ้างนั้น มันก็ต้องไม่ไปละเมิดเสรีภาพคนอื่นเช่นกัน นั่นก็เป็นหน้าที่หลักของเจ้าของที่สร้างเครื่องมือเหล่านี้ขึ้นมาจะต้องตรวจสอบเนื้อหาบนเว็บให้ดี ไม่ใช่ช่วยตรวจสอบแต่กลุ่มธุรกิจเพลงกับหนัง

ถึงเวลาแล้วยัง? และเมื่อไหร่จะถึงเวลา? ที่เรามุสลิมทุกคนจะห่วงแหนในความเป็นอิสลาม ความเป็นมุสลิมีนและมุสลิมะห์ ที่เรามุสลิมทุกคนจะปกป้องความเป็นอิสลาม ความทรงอานุภาพของอัลลอฮฺ การเผยแพร่คำสั่งสอนของท่านนบี อย่าละอายเลยครับกับการเป็นอิสลาม อย่าละอายเลยครับกับการนับถือศาสนาอิสลามสิ่งที่ควรละอายคือการที่เราไม่ทำตามหลักคำสั่งสอนของศาสนามากกว่า
วัสลาม



muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

วันที่ "Social Network" ปลุกศรัทธามุสลิม (ตอนที่สอง)

ต่อจากตอนที่แล้ว

ทั้งนี้หน้าเฟซบุ๊คดังกล่าวมีสมาชิกติดตามถึงแสนคนและมีภาพเข้าประกวดมากถึง 5หน้า แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มมุสลิมที่ทนไม่ได้กับการกระทำอันดูหมิ่นนบี กลุ่มมุสลิมกลุ่มนี้ จึงได้สร้างเฟซบุ๊คโดยใช้ชื่อว่า "ต่อต้านวันที่ใครๆ ก็วาดภาพมูฮัมหมัดได้" ซึ่งได้รับความนิยมมากมายเช่นกัน มีสมาชิกติดตามมากถึงแสนกว่าคน จากกระแสต่อต้านเฟซบุ๊คจากประชาชนปากีสถานทางรัฐบาลปากีสถานจึงตัดสินใจบล็อกเว็บเฟซบุ๊คปิดการเชื่อมต่อกับเฟซบุ๊ค ส่งผลให้คนปากีสถานไม่สามารถเข้าเฟซบุ๊คได้

ทางด้านผู้บริหารเฟซบุ๊คก็รู้สึกไม่สบายใจต่อการตัดสินใจตัดการเชื่อมต่อเฟซบุ๊คในปากีสถาน เพราะว่า ปากีสถานมีประชากร 170 ล้านคน ชาวปากีสถานเล่นเฟซบุ๊คมากถึง 2.5 ล้านคน ไม่ใช่เฟซบุ๊คเท่านั้นที่โดนปิดในปากีสถาน ในส่วนของเว็บยูทูบก็เช่นกันได้ถูกปิดไปด้วยเพราะมีคลิปวิดีโอเป็นจำนวนมากที่มีเนื้อหาดูหมิ่นอิสลามและท่านนบี

โซเชียลเน็ตดเวิร์กมีทั้งคุณและโทษ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้นำไปใช้ว่าใช้ถูกวิธีหรือไม่ ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้วนั้น โซเชียลเน็ตเวิร์กก็เหมือนกับกระดานสำหรับปิดประกาศต่างๆ ที่ไม่ได้ใส่กุญแจล็อกใดๆ ใครๆ ก็สามารถมาปิดประกาศอะไรก็ได้ตามใจชอบ การที่มีผู้มาปิดประกาศที่มีเนื้อหาโจมตีหรือดูหมิ่นศาสนา สถานบันต่างๆ ตลอดจนเนื้อหาที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศนั้นถือเป็นความรับผิดชอบและสามัญสำนึกของเจ้าของกระดานดังกล่าว ที่จะต้องคอยตรวจสอบกระดานของตัวเองและเมื่อเห็นข้อความที่ไม่ดีหรือทำให้คนอื่นเสียหายก็ควรถอดข้อความนั้นๆออก ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กเหล่านี้มักไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องการตรวจสอบข้อความที่ดูหมิ่นหรือละเมิดผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น เว็บยูทูบนั้นมีการตรวจสอบวิดีโอที่คนโพสต์มา หากเขาพบว่ามีใครโพสต์วิดีโอที่เกี่ยวกับเพลงหรือภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ยูทูบจะทำการถอดวิดีโอดังกล่าวทิ้งเลยทันที

แต่เมื่อเขาเห็นวีดีที่มีเนื้อหาหมิ่น ดูถูกเหยียดหยามทางศาสนาเขากลับทำเมินเฉยไม่ถอดออก เช่น เดียวกับกับเฟซบุ๊คที่ปล่อยให้มีคนโพสต์ข้อความดูถูกศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลามล้านแล้วมีผู้ดูถูกทั้งนั้นในกลุ่มสังคมออนไลน์ จึงเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของเจ้าของเว็บต่างๆ ที่จะต้องตรวจสอบเนื้อหาที่ได้ปล่อยให้มีการเขียนได้อย่างอิสระ
(อ่านต่อตอนต่อไป)


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

วันที่ "Social Network" ปลุกศรัทธามุสลิม (ตอนแรก)

เหล่าบรรดาสาวกไซเบอร์นักท่องอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย ไม่มีใครที่ไม่รู้จักรเฟซบุ๊ค (facebook.com) ทวิตเตอร์ (twitter.com) ยูทูบ (youtube.com) อีกทั้งบล็อกและเว็บบอร์ดอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้เป็นของเล่นของนักเล่นอินเตอร์เน็ต เป็นสังคมออนไลน์ที่สามารถเข้าไปเขียนหรืออ่านเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างอิสระ และใครๆ ก็ขนานนามเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "โซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network)"

ของเล่นเหล่านี้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบทบาททางการเมือง ตัวอย่างเช่น ทักษิณใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อสารกับเหล่าบรรดาสาวก นายกอภิสิทธิ์ใช้ทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการสื่สารกับแฟนคลับ หมอตุลย์ใช้เฟซบุ๊คในการสร้างเครือข่ายสนับสนุนการทำงานของนายกภายใต้ชื่อมั่นใจคนไทยเกิน 1 ล้านคน ต่อต้านการยุบสภา นอกจากนี้ประโยชน์ของโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ได้มีไว้สำหรับนักการเมืองเท่านั้น แต่เหล่าบรรดาศิลปินนักร้อง นักแสดง ต่างก็ใช้มันสื่อสารและประชาสัมพันธ์ผลงานตัวเองกับประชาชน อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ประกอบการจำนวนมากเลือกใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการประชาสัมพันธ์แคมเปญหรือโปรโมรชั่นใหม่ๆ เป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดอีกช่องทางหนึ่ง ที่สำคัญคือฟรีไม่เสียเงิน จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ของโซเชียลเน็ตเวิร์กส่วนหนึ่งเท่านั้น

ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เลือกใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กมาใช้ประโยชน์ต่างๆ นานา แต่ก็ใช่ว่ามันจะให้คุณเพียงอย่างเดียว ได้มีคนจำนวนหนึ่งใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นอาวุธละเมิดและโจมตีคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่มีการจับกุมคนเล่นเฟซบุ๊คที่โพสต์ข้อความหมุ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) จึงได้ทำการปิดหน้าเฟซบุ๊คของหน้าเพจนั้นเอาไว้ให้เปิดไม่ได้ และด้วยการใช้งานที่อิสระของโซลเชียลเน็ตเวิร์กเหล่านี้ จึงมีผลให้คนจำนวนมากที่มีความเข้าใจในอิสลามผิดๆ รวมทั้งผู้ไม่หวังดี ได้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในการปลุกระดมโจมตีให้คนทั่วไปเกลียดชังมุสลิมและใช้เป็นช่องทางในการดูหมิ่นศาสนาและท่านนบีมูฮัมหมัด (ซล.)

ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชาวปากีสถานจำนวนมากได้ออกมาเดินประท้วงตามท้องถนน ไม่พอใจเฟซบุ๊คที่เผยแพร่เนื้อหาของชาวตะวันตกกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้เฟซบุ๊คเป็นเครื่องมือในการจัดประกวดวาดรูปภาพหมิ่นท่านนบี โดยคนใช้เฟซบุ๊คกลุ่มนี้จัดการประกวดในหัวข้อที่ว่า "วันที่ใครๆ ก็วาดภาพมูฮัมหมัดได้" ชาวตะวันตกกลุ่มนี้อ้างว่า เป็นการส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกและได้แรงบันดาลใจจากนักวาดการ์ตูนเสรีชาวอเมริกัน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อพลังศรัทธาในคนปากีสถานอย่างมากมายมหาศาล นักศึกษาและนักวิชาการอีกทั้งประชาชนรวมตัวกันหลายพันคนชุมนุมเรียกร้องให้คว่ำบาตรเฟซบุ๊คและให้จับกุมผู้เผยแพร่การ์ตูนล้อเลียนนบีดำเนินคดี
(อ่านต่อตอนต่อไป)

muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

มุสลิมกับวันปีใหม่

วันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันสิ้นปี ต่อเนื่องกับ วันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามสากลนิยม ประชาชนทุกชาติทุกภาษาจะมีการเฉลิมฉลองในวันนี้

ในครั้งโบราณต่างชาติต่างก็ขึ้นปีใหม่กันตามความนิยมของตนที่เห็นว่า วันปีใหม่ควรจะเป็นวันไหน เช่น ต้นฤดูหนาวเพราะเป็นเวลาพ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า เป็นต้น, ปี ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่าง ร้อนเหมือนเวลากลางวันเป็นกลางปี ฤดูฝนที่เป็นเวลามืดคลุ้มโดยมากและฝนพร่ำเพรื่อเที่ยวไปไหนไม่ได้เป็นเหมือนกลางคืน ชาวเยอรมันสมัยโบราณแบ่งฤดู 2 ฤดู คือฤดูหนาวกับฤดูร้อน ขึ้นปีใหม่ราวปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเวลาที่พื้นภูมิภาคกำลังเริ่มเย็นขึ้นเป็นลำดับ ประชาชนซึ่งแยกย้ายกันไปหากินในที่ต่างๆ ตั้งแต่ในฤดูร้อนได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่ทำได้และนำขึ้นยุ้งฉางเสร็จแล้ว ก็มาร่วมชุมนุมกันฉลองขึ้นใหม่ เมื่อชาวโรมันได้รุกรานเข้าไปในอาณาเขตเยอรมัน จึงได้เลื่อนการฉลองปีใหม่มาเป็น 1 มกราคม

ชาวไอยคุปค์ เฟนิเซียนและอิหร่านเริ่มปีใหม่เมื่อกลางฤดูสารทคือราววันที่ 21 กันยายน โยนกสมัยก่อนพุทธกาลขึ้นไป เริ่มปีใหม่ราววันที่ 21 ธันวาคม โรมันโบราณก็เริ่มปีใหม่วันที่ 21 ธันวาคม สมัยซีซาร์เมื่อใช้ปฏิทินที่เรียกว่าแบบยูเลียนได้เลื่อนปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 มกราคม พวกยิวขึ้นปีใหม่เป็น 2 อย่าง ตามทางการเริ่มปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนติษรีราววันที่ 6 กันยายน ถึงวันที่ 5 ตุลาคม ทางศาสนาเริ่มราววันที่ 21 มีนาคม ตอนต้นยุคกลางชาวคริสเตียนเริ่มปีใหม่ วันที่ 25 มีนาคม อังกฤษเชื้อสายแองโกลซักซอนเริ่มปีใหม่วันที่ 25 ธันวาคม ภายหลังให้เลื่อนวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม ต่อมาก็กลับเลื่อนไปขึ้นปีใหม่ราว 2242-2296

โปรดสังเกตว่า ในอดีตทุกๆ ดินแดน ทุกๆ เผ่าพันธุ์ต่างมีเทศกาลเป็นของตนเอง หรือมีประเพณีของเผ่าพันธุ์ของตนเองอยู่เสมอ แม้กระทั่งวันรื่นเริง วันซึ่งถูกอุบัติขึ้นเพื่อการเฉลิมฉลอง หรือเพื่อแสดงความสนุกสนานนั้น ทุกๆ เผ่าพันธุ์,ทุกๆ ดินแดนต่างก็มีวันรื่นเริงเป็นของตนเองทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าวัน และรูปแบบการเฉลิมฉลองก็จะแตกต่างกันไป สรุปคือ ทุกๆ ชาติ ทุกๆ เผ่าพันธุ์ต่างก็มีวันเฉลิมฉลอง หรือวันรื่นเริงแทบทั้งสิ้น ดั่งที่ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า “ إن لكل قوم عيدا “ ความว่า “แท้จริงทุกๆ กลุ่มชนนั้นมีวันรื่นเริงทั้งสิ้น” (บันทึกโดยมุสลิม 1479)

อนึ่ง หากย้อนถามวันรื่นเริง หรือวันเฉลิมฉลองของอิสลามนั้นมีหรือไม่? คำตอบคือมี ดังหลักฐานจากท่านอนัส บุตรของมาลิกเล่าว่า “ كان لأهل الجاهلية يومان في كل سنة يلعبون فيهما فلما قدم النبي صلى الله عليه وسلم المدينة قال كان لكم يومان يلعبون فيهما وقد أبدلكم الله فيهما خيرا منهما يوم الفطر ويوم الأضحى “ ความว่า “ปรากฏว่ากลุ่มชนญาฮิลียะฮฺ (กลุ่มชนที่อิสลามยังไม่อุบัติขึ้นแก่พวกเขา) สำหรับพวกเขามีอยู่สองวันในทุกๆ ปีซึ่งเป็นวันที่พวกเขารื่นเริงสนุกสนานในสองวันดังกล่าว, ครั้นเมื่อท่านรสูลุลลอฮฺ เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านรสุล ก็กล่าวว่า สำหรับพวกท่านมีวันรื่นเริงสนุกสนานอยู่สองวัน ทว่าพระองค์อัลลอฮฺทรงเปลี่ยนให้ดีกว่าวันทั้งสองดังกล่าว นั่นคือวันอีดิลฟิฏริ และวันอีดิลอัฎหา” (บันทึกโดยนะสาอีย์ หะดีษที่ 1538)

ฉะนั้นหะดีษข้างต้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้จะมีวันรื่นเริงวันใด หรือกี่วันก็ตามนั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือภายหลังที่อิสลามได้ถูกอุบัติขึ้น อิสลามได้ทดแทนวันที่อนุญาตให้บรรดามุสลิมสนุกสนานรื่นเริงได้เพียงแค่สองวันเท่านั้น นั่นคือ วันอีดิลฟิฏริ และวันอีดิลอัฎหา

ครั้นเมื่อหลักการของศาสนาอนุมัติให้มุสลิมฉลอง หรือรื่นเริงได้เพียงสองวันในรอบปีเท่านั้น บรรดามุสลิมจะแสวงหาวันรื่นเริง หรือวันฉลองอื่นจากวันอีดิลฟิฏริ (عيد الفطر) หรืออีดิลอัฎหา (อ่านว่า อัด-ฮา عيد الأضحى ) ไม่ได้ เพราะเมื่อท่านรสูล ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่ามุสลิมมีวันรื่นเริงเพียง 2 วันเท่านั้น มุสลิมที่ศรัทธามั่นคงก็ต้องปฏิบัติคำสั่งของท่านรสูลุลลอฮฺ อย่างเคร่งครัด

อีกทั้งท่านรสูลุลลอฮฺยังกำชับให้ออกห่างจากการเลียนแบบแนวคิด,วิถีชีวิต และพฤติกรรมของพวกยะฮูดีย์ และพวกนัศรอนีย์อีกด้วย ดั่งที่ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า “ و لا تشبهوا باليهود ولا بالنصارى “ ความว่า “พวกท่านอย่าเลียนแบบพวกยะฮูดีย์ (พวกยิว) และพวกนัศรอนีย์ (พวกคริสเตียน) “ (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษที่ 8230)

หะดีษข้างต้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มุสลิมมีจุดยืนของมุสลิมโดยมีอุดมการณ์อันแน่วแน่ว่าไม่ยอมเลียนแบบพฤติกรรม, ประเพณี หรือวัฒนธรรมของประชาชาติอื่น โดยเฉพาะประชาชาติยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์โดยเด็ดขาด เพราะนั่นคือคำสั่งที่ท่านรสูลุลลอฮฺ ต้องการให้มุสลิมเป็นประชาชาติตัวอย่าง เป็นประชาชาติที่นำประชาชาติอื่น ไม่ใช่เป็นประชาชาติที่เลียนแบบประชาชาติอื่น หรือเป็นประชาชาติต่ำต้อยยอมเดินตามหลังประชาชาติอื่นนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ลองกลับมาพิจารณาเถิดว่า การกำหนดวันปีใหม่ของสากล หรือปีใหม่ของโลกนั้นมาจากแหล่งไหน? ผลลัพธ์คือ มาจากพวกโรมัน และพวกอังกฤษ ซึ่งก็อยู่ในกลุ่มของอะฮฺลุลกิตาบ หรือพวกยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นบรรดามุสลิมยิ่งจะต้องออกห่างจากการเฉลิมฉลอง และจัดงานรื่นเริงปีใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย จึงเป็นไปไม่ได้ที่มุสลิมจะรณรงค์กันจัดงานปีใหม่ขึ้นในบ้าน หรือจัดในชุมชนมุสลิม เพราะนั่นเป็นวัฒนธรรมของพวกยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์ ดั่งที่ท่านรสูลุลลอฮฺ สั่งห้ามมิให้มุสลิมเลียนแบบกลุ่มชนทั้งสองข้างต้น แม้นว่ามุสลิมคนใดจัดงานปีใหม่ขึ้น นั่นก็หมายรวมว่า ความเป็นประชาชาติตัวอย่างได้เหือดหายไปจากจิตสำนึกของมุสลิมทีละน้อยทีละน้อยจนในที่สุดก็หามีจิตสำนึกแห่งการเป็นประชาชาติตัวอย่างไม่

ใช่แต่เท่านั้น ท่านรสูลุลลอฮฺ มิได้สั่งห้ามบรรดามุสลิมเที่ยวงาน หรือจัดงานเฉลิมฉลองเยี่ยงการจัดงานของประชาชาติอื่นเท่านั้น แต่บริเวณใด หรือสถานที่ใดที่อดีตเคยจัดงานเฉลิมฉลองของกลุ่มชนที่มีความเชื่อ หรือศาสนาอื่นจากอิสลาม ท่านรสูลุลลอฮฺ ก็ยังสั่งห้ามมิให้มุสลิมเข้าไปร่วมกิจกรรมยังบริเวณ หรือสถานที่แห่งนั้นอีกต่างหาก ท่านษาบิต บุตรของเฎาะฮากเล่าว่า “ ชายผู้หนึ่งบนบาน (นะซัร) ว่าจะเชือดอูฐหนึ่งตัว ณ บริเวณ (ที่เรียกว่า) บุวานะฮ, ท่านรสูลุลลอฮจึงถามเขาว่า ณ สถานที่แห่งนั้นเคยมีรูปเจว็ดหนึ่งจากบรรดารูปเจว็ดที่เคยถูกเคารพภักดีในสมัยญาฮิลียะฮ์ (หมายถึงสมัยก่อนที่ท่านรสูล ถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี) หรือไม่ ? บรรดาเศาะหาบะฮ์ตอบว่า ไม่เคยมีการกระเช่นนั้นครับ, ท่านรสูลถามต่ออีกว่า สถานที่แห่งนั้นเคยมีการจัดงานวันรื่นเริงของพวกเขาหรือไม่ ? บรรดาเศาะหาบะฮ์ก็ตอบว่า ไม่เคยมีการกระทำกันครับ, ท่านรสูล จึงกล่าวขึ้นว่า เช่นนั้นท่านจงทำให้สิ่งที่ท่านบนบานให้ครบถ้วนสมบูรณ์เถิด แท้จริงไม่มีการทำบนบานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ในเรื่องของการฝ่าฝืนพระองค์อัลลอฮ์ “ (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษ 2881)
หะดีษข้างต้นทำให้มุสลิมต้องพิจารณาถึงท่าทีของตนเองให้มากๆ เพราะมุสลิมบางคนยังคงไปเที่ยวงานส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ โดยไปร่วมงานนับถอยหลังเพื่อเข้าวันที่ 1 มกราคม โดยต้องการมีส่วนร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่กับประชาชาติอื่นอย่างสนุกสนาน แต่ท่านรสูลุลลอฮฺ กลับระบุว่า สถานที่ซึ่งเคยถูกทำให้เป็นสถานที่จัดงานรื่นเริงนั้นมุสลิมก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้นนั่นเอง พึงทราบเถิดว่า อะไรที่มิใช่วิถีชีวิตของมุสลิม วาญิบ (จำเป็น) สำหรับมุสลิมจะต้องออกห่างจากวิถีชีวิตเยี่ยงนั้น

อนึ่ง อาจมีบางท่านอ้างว่า จริงอยู่ถึงแม้ว่าไม่อนุญาตให้บรรดามุสลิมเฉลิมฉลองในวันที่ 1 มกราคมซึ่งเป็นวันปีใหม่สากลก็ตาม แต่มุสลิมสามารถเฉลิมฉลองปีใหม่อิสลามได้ นั่นคือให้รื่นเริงและฉลองกันในวันที่ 1 มุหัรฺร็อมของทุกๆ ปี ซึ่งเป็นวันปีใหม่อิสลาม โดยอ้างหลักฐานจากข้อมูลที่ว่า
“วันที่ 1 เดือนมุฮัรรัม เป็นวันแรกของการเริ่มศักราชใหม่ ตามประวัติศาสตร์ถือเป็นวันที่ท่านศาสดามูฮัมมัดลี้ภัยจากนครมักกะฮ์ไปสู่นครมะดีนะฮ์ เมื่อวันนี้ได้เวียนมาบรรจบ มุสลิมจึงรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เพื่อมิให้การรำลึกภาพเหตุการณ์สำคัญในวันนั้นเป็นการสูญเปล่าก็ประกอบกิจกรรมกุศล เช่น การอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน การเอ่ยคำสดุดีสรรเสริญองค์ศาสดา ตลอดจนขอพรมาปฏิบัติเสริมอันเป็นสิริมงคล”

ข้อมูลข้างต้นที่อ้างมานั้นถือว่าเป็นการอ้างอิงที่ไม่ใช่หลักวิชาการ แต่เป็นการอ้างอิงด้วยการวินิจฉัยเอาเองว่าการทำพิธีกรรมในวันที่ 1 มุหัรฺร็อม เป็นสิ่งที่ดี อีกทั้งยังเป็นการรำลึกภาพเหตุการณ์สำคัญในวันนั้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวถือว่าเป็นการอุตริกรรมขึ้นใหม่ในศาสนา (บิดอะฮฺ) หากว่าแนวคิดข้างต้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วไซร้ ท่านนบีมุหัมมัด จะต้องกระทำเป็นบุคคลแรกแล้วนั่นเอง หรือไม่บรรดาเศาะหาบะฮฺก็ต้องมีร่วมกันรำลึกวันที่ 1 มุหัรฺร็อมของทุกๆ ปี เนื่องจากเป็นวันปีใหม่อิสลาม แต่ทว่าสิ่งข้างต้นไม่มีแบบฉบับจากท่านรสูล หรือไม่มีการปฏิบัติของบรรดาเศาะหาบะฮฺแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นสิ่งข้างต้นจึงเป็นเรื่องเหลวไหล และเป็นเรื่องที่อุตริกรรมขึ้นใหม่ในศาสนา (บิดอะฮฺ) นั่นเอง, ใช่แต่เท่านั้น การกำหนดเดือนมุหัรฺร็อมเป็นเดือนแรกของปฏิทินอิสลามนั้นกลับมิได้ถูกกำหนดจากท่านนบีมุหัมมัด เลยแม้แต่น้อย แต่ถูกดำริขึ้นในสมัยของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ ดั่งมีรายละเอีดยดั่งนี้
การนับวันและเดือนในอิสลามกำหนดให้ใช้ระบบจันทรคติเป็นหลัก แต่อาหรับในยุคก่อนยังไม่มีการกำหนดวิธีนับปี มีแต่เพียงเล่าขานต่อๆกันมาด้วยเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้น เช่น กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด เกิดในปีช้าง
ในปีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญคือ อับเราะหะฮฺ เจ้าเมืองยะมันยกกองทัพช้างมุ่งตรงมายังมักกะฮฺหมายจะทำลายอัลกะอฺบะฮฺ แต่อัลลอฮฺได้ทรงพิทักษ์รักษาบ้านของพระองค์โดยทรงบันดาลให้ฝูงนกอะบาบีลคาบก้อนหินมาถล่มใส่กองทัพช้างของอับเราะหะฮฺจนย่อยยับไป

ต่อมาหลังจากท่านนบีมุฮัมมัด สิ้นชีวิตไป แผ่นดินอิสลามได้แผ่ขยายออกไปกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคการปกครองของท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัร ซึ่งสืบทอดการปกครองอาณาจักรอิสลามเป็นเคาะลีฟะฮฺคนที่ 2 ต่อจากท่านเคาะลีฟะฮฺอบูบักร์ ท่านอุมัรได้จัดระบบการบริหารราชการแผ่นดิน การเงิน การคลัง ให้เป็นระเบียบ มีการทำสำมะโนประชากร มีการทำบันทึกรายได้รายจ่ายของรัฐอย่างเป็นระบบ จึงพบปัญหาว่าไม่สามารถระบุวันที่ได้แน่นอน เกิดความสับสนในการบันทึกเอกสารต่างๆ บางทีเดือนเดียวกันแต่ไม่ทราบว่าเป็นปีใด
ท่านอุมัรได้ปรึกษาหารือกับบรรดาสาวกของท่านนบีที่ร่วมบริหารงานอยู่ก็มีมติให้ ปรับปรุงการกำหนดปีกันใหม่ บางคนเสนอให้ใช้ศักราชโรมัน บางคนเสนอให้ใช้ศักราชเปอร์เชีย บ้างก็เสนอให้ใช้วันเกิดของท่านนบีเป็นศักราชอิสลามบ้าง ให้ใช้วันที่ท่านนบีได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี บ้าง หรือให้ใช้วันเสียชีวิตของท่านเป็นจุดเริ่มต้นนับศักราชอิสลามบ้าง แต่ท่านอุมัรไม่เห็นด้วยที่จะรับวิธีคิดตามอย่างพวกที่พยายามหาทางทำลายล้างและเป็นปฏิปักษ์กับอิสลามมาใช้ และไม่เห็นด้วยที่จะเอาวันเกิดวันตายของท่านนบี มากำหนดศักราชอิสลามเลียนแบบศาสนาอื่น

ในที่สุด ท่านอะลี หนึ่งในคณะที่ปรึกษา (ซึ่งต่อมาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺคนที่ 4) ได้เสนอให้ เอาการอพยพ (หิญเราะฮฺ) ของท่านนบีจากมักกะฮฺไปสู่มะดีนะฮฺเป็นจุดเริ่มต้นนับศักราชใหม่ของอิสลาม เนื่องจากเป็นนิมิตหมายถึงความสำเร็จในการสถาปนารัฐอิสลามของท่านนบี และยิ่งกว่านั้นการอพยพครั้งนั้นยังเป็นการจำแนกความจริงจากความเท็จและความหลงผิด ได้อย่างชัดเจน
ท่านอุมัรเห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเสนอนี้ การปรึกษาหารือเรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปีที่ 17-18 หลังจากการหิญเราะฮฺ จึงมีมติให้เริ่มนับศักราชอิสลามตั้งแต่ปีที่ท่านนบีอพยพ เรียกว่า หิญเราะฮฺศักราช
พิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวอาหรับที่มีมาแต่โบราณคือพิธีหัจญ์ ซึ่งจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาร่วมพิธีที่นครมักกะฮฺ และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีหัจญ์ก็พอดีย่างเข้าเดือนมุหัรรอม จะเป็นจุดเริ่มต้นการค้าขายและธุรกิจต่างๆ ชาวอาหรับจึงนับเดือนมุหัรรอมนี้เป็นเดือนแรกของปี ศักราชอิสลามก็ยังคงนับเดือนมุหัรรอมเป็นเดือนแรก มิใช่เริ่มนับ ณ วันที่ท่านนบีอพยพ (ท่านนบีอพยพในเดือนเราะบีอุลเอาวัลซึ่งเป็นเดือนที่ 3 ของปี) แต่เริ่มนับวันที่ 1 มุหัรรอม ของปีที่ท่านนบี อพยพ เป็นวันเริ่มต้นหิญเราะฮฺศักราช ตำราบางเล่มกล่าวว่าวันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.632 (ตามปฏิทิน Julian Calendar) เนื่องจากการกำหนดศักราชอิสลามนี้เกิดขึ้นหลังจากท่านนบีสิ้นชีวิตไปแล้วถึง 17-18 ปี วันปีใหม่ของหิญเราะฮฺศักราชจึงไม่ถือเป็นวันสำคัญทางศาสนา และไม่ปรากฏว่ามุสลิมในยุคแรกๆเฉลิมฉลองวันปีใหม่นี้ แต่พวกเขายึดมั่นในวันสำคัญ 2 วัน คือ อีดิลฟิฏริ และ อีดิลอัฎฮา ที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานให้เพื่อล้มล้างและยกเลิกวันสำคัญหรือพิธีกรรมเก่าๆที่เคยยึดถือปฏิบัติกันมาในยุคก่อนเข้ารับอิสลาม และจากการพิจารณาถึงวิธีกำหนดศักราชอิสลาม จะเห็นว่าท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัรพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการเลียนแบบวิธีคิดและประเพณีปฏิบัติตามลัทธิศาสนาอื่น
สรุปว่าสาเหตุที่ศาสนาไม่อนุญาตให้มุสลิมร่วมงาน หรือจัดงานปีใหม่มีดั่งนี้
1. สิ่งข้างต้นเป็นการอุตริกรรมขึ้นใหม่ซึ่งไม่ปรากฏจากบทบัญญัติที่อนุญาตให้เฉลิมฉลองในวันดังกล่าว
2. สิ่งข้างต้นนั้นมาจากพวกยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์ ซึ่งมีบทบัญญัติศาสนาให้ออกห่างการเลียนแบบตามทั้งสองกลุ่มนั้นอย่างสิ้นเชิง
3. มุสลิมถูกสั่งสอนให้ตามแนวทางจากอัลกุรฺอานและสุนนะฮฺของท่านนบีมุหัมมัด หน้าที่ของบรรดามุสลิมจึงต้องปฏิบัติตามแนวทางของอิสลามอย่างเคร่งครัด เมื่อเป็นเช่นนั้นศาสนาระบุไว้อย่าชัดเจนว่า ศาสนาเปิดโอกาสให้บรรดามุสลิมสนุกสนานรื่นเริง และเฉลิมฉลองในรอบปีได้มีเพียงสองวัน อันได้แก่ วันอีดิลฟิฏริ และอีดิลอัฎหาเท่านั้น, ส่วนการเฉลิมฉลองในวันปีใหม่ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตของมุสลิมเลยแม้แต่น้อย หน้าที่ของมุสลิมจึงจะต้องออกห่างจากการเฉลิมฉลองในวันดังกล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย
4. การที่มุสลิมหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่สนุกสนานรื่นเริงนั้น จะทำให้หัวใจของมุสลิมหมกมุ่น และสาละวนอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ค้านกับทางนำแห่งสัจธรรมจากพระผู้เป็นเจ้า ขอให้พระองค์อัลลอฮฺทรงเมตตาชี้ทางนำให้แก่ผู้ที่หลงผิดด้วยเถิด


การให้ของขวัญ และบัตรอวยพรในวันปีใหม่
บัตรอวยพรคริสต์มาสพิมพ์ครั้งแรกโดยบริษัทลอนดอนจำกัด ทำออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 1843 ต่อมามีบริษัทอื่นๆ พิมพ์ออกมาและจำหน่ายอย่างกว้างขวาง เป็นที่นิยมกันอย่างมากมายจนพิมพ์แทบไม่พอขาย ปัจจุบันการส่งบัตรอวยพรคริสต์มาสและปีใหม่กลายเป็นธรรมเนียมถือปฏิบัติกันทั่วโลก โดยส่งคำอวยพรถึงกันและกันในครอบครัว และระหว่างเพื่อนฝูงมิตรสหาย เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงความระลึกถึงกันได้เป็นอย่างดีในโอกาสฉลองเทศกาลอันสำคัญนี้ ซึ่งเป็นวาระแห่งความปีติยินดี
จุดประสงค์ของการส่งบัตรอวยพรนั้น เพื่อแสดงความสุข ความยินดีในวันคริสต์มาส และส่งความปรารถนาดีรำลึกถึงกันและกันด้วยใจจริง ถ้าหากขาดเป้าหมายเหล่านี้แล้ว บัตรอวยพรราคงแพงที่สวยหรู และถ้อยคำอวยพรที่ไพเราะเพราะพริ้งจะไร้ความหมายทันที
ธรรมเนียมที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่คริสต์ศาสนิกชนนิยมทำกันมากที่สุดคือ การส่งบัตรอวยพร (Greeting Card) ไปยังญาติสนิทมิตรสหาย โดยบรรจุข้อความที่สำคัญและประทับใจเช่น Merry Christmas อวยพรขอให้ผู้รับมีความสุข สดชื่น และสมปรารถนาด้วยอำนาจแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า

สรุปที่มาของบัตรอวยพรปีใหม่
การส่งบัตรอวยพรในวันปีใหม่ ถือว่าเป็นธรรมเนียมที่นิยมปฏิบัติกันสำหรับคริสต์ศาสนิกชน
ประเด็นชี้แจง
ศาสนาอิสลามอนุญาตให้มอบของขวัญ หรือแม้แต่การเขียนบัตรอวยพรให้แก่มุสลิมด้วยกันได้ เพราะนั่นถือว่าเป็นเรื่องของสังคม แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่กำหนดวันเจาะจงที่จะมอบให้อย่างตายตัว มุสลิมสามารถมอบของขวัญ หรือบัตรอวยพรได้ตลอดเวลา แต่ถ้ามุสลิมคนใดเจาะจงมอบให้เฉพาะวันคริสต์มาส หรือวันปีใหม่ เท่ากับว่ามุสลิมผู้นั้นกำลังเลียนแบบกลุ่มอื่นแล้ว ดั่งเช่นที่ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า “ من تشبه بقوم فهو منهم “ ความว่า “บุคคลใดที่เลียนแบบชนกลุ่มใดเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้น” (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 3512)

ดังนั้น เมื่อศาสนาไม่อนุญาตในรื่นเริง และเฉลิมฉลองในวันปีใหม่ หรือเทศกาลปีใหม่ เช่นนี้มุสลิมก็ต้องหลีกเลี่ยงโดยไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมใดในเทศกาลดังกล่าว ไม่ว่าจะมีส่วนร่วมให้นำสิ่งของต่างๆ ที่บ่งบอกว่าเราได้มีส่วนร่วมในวันนั้น ไม่ว่าจะในเรื่องของการกิน การดื่ม เสื้อผ้า ของขวัญ หรืออย่างอื่นๆ อีก เป็นหน้าที่เหนือมุสลิมทุกคนที่จะต้องภาคภูมิใจในศาสนาของตนเอง และเขาจะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับทุก ๆ เทศกาลที่ไม่ใช่อิสลามอย่างสิ้นเชิง
เราขอให้พระองค์อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งทรงโปรดปกป้องพี่น้องมุสลิมจากการทดสอบทั้งหลาย ไม่ว่าในที่ลับและที่แจ้ง และขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองและประทานทางนำ หรือแนวทางแห่งสัจธรรมให้กับพวกเราด้วยเถิด อามีน (ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงรับคำวิงวอนนี้ด้วยเถิด)

muslim hot report : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากเว็บไซต์
http://www.mureed.com/

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

Muslim hot report "เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป" ตอนจบ

จากการออกกฎหมายห้ามในแถบยุโรปนั้น ก็จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักๆในการออกกฎห้าม ก็จะมีอยู่ไม่กี่ประเด็นส่วนหนึ่งก็จะอ้างเรื่องความปลอดภัย เราก็พอจะรับฟังได้ แต่ข้ออ้างที่มองว่าผู้หญิงที่คลุมศรีษะปิดหน้าปิดตาเป็นการลดคุณค่าความเป็นสตรี เหตุผลนี้ก็ขัดกับความรู้สึกพวกเราฝั่งเอเชียหน่อย พวกฝรั่งเหล่านี้พยายามยกเรื่องเสรีภาพเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตัวเองว่าจะทำอะไรก็ได้เวลาเราไปเที่ยวทะเลก็จะเห็นเสรีภาพของฝรั่งว่าจะถอดเสื้อผ้านอนเปลือยกายตรงไหนก็ได้ตามชายหาด จะใส่บิกินนี่กี่ชิ้นก็ได้ตามใจฉัน แต่พอเห็นสตรีแต่งกายมิดชิดกลับไม่ให้เสรีภาพคนเหล่านั้นกลับมาออกกฏห้าม ทั้งที่เป็นการปกปิดไม่ให้สัดส่วนหรือความงามบนใบหน้าหรือเส้นผมไปกระตุ้นอารมณ์ผู้ชาย ข้อจำกัดเหล่านี้เราก็คงไปทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะเป็นบ้านของเขากับชาวยุโรปคิดแบบนี้มาช้านาน

เมื่อย้อนมาดูที่เมืองไทยก็ อัลฮัมดุลิ้ลลาห์ อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเมตตาเราเหลือเกินให้เกิดในแผ่นดินที่ไม่ได้กีดกันข้อปฏิบัติของอิสลาม ส่วนใหญ่มุสลิมะห์ไทยนิยมใช้ผ้าคลุมผมซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีหญิงมุสลิมไทยบางส่วนแต่งกายด้วยชุดสีดำ คลุมผมคลุมหน้าเห็นแต่ลูกนัยน์ตา (บางครั้งถึงขั้นมีผ้าบางๆ ปิดที่ตาด้วย) ซึ่งประเทศไทยถือว่าเป็นเสรีภาพในการแต่งกายตามความเชื่อทางศาสนา

สำหรับคนไทยต่างศาสนิกส่วนหนึ่งก็จะกังขากับการแต่งกายของมุสลิมะห์ เกิดความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ปิดบังอำพรางใบหน้าและรูปโฉม ง่ายต่อการก่อการร้าน การปลอมตัวได้ แต่กระนั้นแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนในความเป็นมนุษย์ (ที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้) เพราะการแต่งกายไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะวัดค่าว่าใครเป็นคนดีหรือไม่ดี มันเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีข้อปฏิบัติอื่นๆ อีกของอิสลามที่เราต้องปฏิบัติ สิ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดคือความเสรีของโลกที่มีเพิ่มขึ้น ประชาธิปไตยที่เพิ่มขึ้นในสิทธิเสรีภาพที่เบ่งบาน ยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างฝั่งยุโรป เหล่านี้กับสวนทางกับสิทธิของมุสลิมซะเหลือเกิน ทั้งนี้เราก็ต้องย้อนมาพิจารณาว่ามุสลิมะห์ฝรั่งนั้น เป็นแบบอย่างมุสลิมสมบูรณ์แบบ แต่งกายตามหลักศาสนา แต่ถูกกฎหมายบ้านเมืองที่เขาอาศัยอยู่กีดกัน แต่สำหรับมุสลิมะห์ไทยเรานี้ อยู่ในประเทศที่ไม่กีดกัน เสรีทางศาสนา สามารถแต่งกายได้ทุกรูปแบบ แล้วเราจะปล่อยโอกาสนี้ผ่านเลยไปหรือ? ปล่อยกระแสแฟชั่นเกาหลีมาแทนที่กระนั้นหรือ? วันนี้คลุมฮิญาบแล้วหรือยัง?


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย" ฉบับที่ 9 ประจำเดือนกรกฎาคม 2553

Muslim hot report "เสรีภาพศาสนาในสังคมยุโรป" ตอนที่ 1

เสรีภาพในสังคมเป็นสิ่งสำคัญต่อบรรดาศาสนาของทุกศาสนา ความชอบในาสนา หรือแนวทางปฏิบัติสำหรบแนวทางปฏิบัตินั้นก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่และเป็นเรื่อที่ค้างคาหนักอกของพี่น้องมิสลิมเราในต่างแดนเกี่ยวกับการคัดค้านขงกลุ่มประเทศแถบยุโรปท่มีการ่อต้านออกมาอย่างถี่ยิบตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วทุกมุมโลกเกี่ยวกับการต่อต้านผู้หญิงมุสลิมที่ใส่ผ้าคลุมฮิญาบ (บุรก้า) ในที่สาธารณะหนำซ้ำบางประเทศยังจะออกกฎอย่งเป็นางการถ้าหากใครใส่จะถูกปรับและจำคุก

ปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับพีน้องมุสลิมเรในต่างแดนท่เกิดข้อครหาจากการใส่ผ้าคลุมมักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เหตุดังกล่าวก็เกิดจากเสรีภาพทางศาสนาที่ถูกปิดกั้นแะเกิดขึ้นกับพี่น้องมุสลิมเรา เช่นประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ทางการฝรั่งเศสกำลังปวดหัวกับหญิงมุสลิมที่คลุมหน้าจนเห็นแต่ลูกตาเท่านั้น ในฝรั่งเศสมีประชากรมุสลิมประมาณ 5 ล้านคน ในจำนวนประชากรทั้งประเทศ 63 ล้านคนที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากแอฟริกาเหนือ เช่น โมรอคโค ซึ่งเคยเป็นอาณานิยมของฝรั่งเศสมาก่อน เพื่อไปหางานทำตั้งหลักแหล่งหลายชั่วอายุคน ก่อนนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่ระยะหลังมีผู้หญิงมุสลิมกลุ่มหนึ่งกว่า 2,000 คน นิยมแต่งตัวปดบังร่างกายมิดชิดเหลือต่ลูกตาเท่านั้น แม้แต่เล่นกีฬาก็ยังแต่งตัวดังกล่าว จนเป็นที่ขัดหูขัดตาของคนฝรั่งเศสแท้ๆ

ไม่เฉพาะในฝรั่งเศสเท่านั้นที่ไม่ยอมรับมุสลิมใส่ผ้าคลุมฮิญาบ (บุรก้า) แต่ในประเทศอิตาลี สเปน เบลเยี่ยม เดนมาร์ก อังกฤษ เนเธอแลนด์ ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย หรืออาจทั้งหมดในแถบยุโรปก็เป็นไปได้ เช่น ในประเทศเดนมาร์ก ที่รัฐบาลได้ออกประกาศว่าห้ามการแต่งกายทางศาสนาทุกอย่างเมื่อเข้ามาในห้องพิจารณาของศาล ซึ่งพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเรียกร้องให้ใช้กฎนี้กับครูและบุคคลากรทางการแพทย์ด้วย ในเบลเยี่ยมรัฐบาลท้องถิ่นใช้กฎเดิมที่ห้ามคนปิดบังหน้าตาตัวเงเพื่อความปลอดภัยในที่สาธารณะ ในออสเตรียกำลังพิจารณาเรื่องนี้หากมีหญิงมุสลิมแต่งตัวคลุมหน้าตากันมากขึ้น เช่นเดียวกับในสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนในเยอรมนีเมื่อปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ครูมุสลิมใช้ผ้าคลุมผมไปสอนได้ และอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นในรัฐต่างๆ ออกกฎเฉพาะข้าราชการและครูมุสลิมใช้ผ้าคลุมผมได้ ในรัสเซียห้ามหญิงมุสลิมคลุมผมเวลาถ่ายรูปติดหนังสือเดินทาง และล่าสุดเมืองบาร์เซโลน่าประเทศสเปน ที่ออกกฎเหล็กห้ามสตรีสวมผ้าคลุมศีรษะเดินในอาคารสาธารณะ โดยอ้างว่าการสวมผ้าคลุมศีรษะเป็นการลิดรอนเสรีภาพของสตรี เมืองเลอริดาในคาตาโลเนียและรัฐอื่นๆ แถบตะวันออกเฉียงเหนือ ห้ามหญิงมุสลิมสวมบุรก้าแต่งกายแบบมิดชิดและยังต้องการให้รัฐบาลออกกฎให้ทั่วประเทศปฏิบัติตมในการห้ามหญิมุสลิมสวมบุรก้า บางรัฐในเยอรมันได้มีการห้ามครูโรงเรียนรัฐบาลคลุมฮิญาบอยู่แว ซึ่งกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นประธานาธิบดีนิโคลา ซาร์โกซี่แห่งฝรั่งเศส กำลังผลักดันให้ออกกฎหมายห้ามคลุมบุรก้าเช่นกัน แต่ขั้นตอนยังไม่ผ่านรัฐบาล และรัฐสภา หากผ่านกฎหมายนี้ก็คงออกใช้บังคับโดยกฎหมายที่ร่างดังกล่าวมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับมุสลิมะห์หรือสตรีทั่วไป ที่ต้องการปกปิดเรือนร่างของตนให้พ้นจากความชั่วร้ายของเพศตรงข้ามไว้อย่างรุนแรง โดยหากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกปรับเป็นเงินตั้งแต่ 20-35 เหรียญสหรัฐ (700-1,200 บาท) และอาจถูกจำคุกอีก 7 วันด้วย


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย" ฉบับที่ 9 ประจำเดือนกรกฎาคม 2553

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

"สามี ภรรยาที่หย่ากันแล้วบุตรอยู่กับภรรยา สามีจำเป็นต้องให้ค่าเลี้ยงดูบุตรหรือไม่ อย่างไร"

สามีจำเป็นต้องเลี้ยงดู การเลี้ยงดูลูกแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ
- ลักษณะการให้นม มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องให้ผู้เป็นแม่เป็นผู้รับผิดชอบ ในขณะที่เด็กไม่สามารถแยกแยะจากสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ สามารถชำระร่างกายได้จากสิ่งสกปรก แม่จำเป็นต้องเลี้ยง อยู่กับแม่ในช่วงนี้ตั้งแต่เกิด แต่สามีจำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูจนกระทั่งเด็กสามารถแยกแยะอะไรออกได้ ประมาณ 7 ขวบ หลังจากนั้นให้เด็กเลือกว่าเด็กจะอยู่กับใคร จะอยู่กับพ่อหรือจะอยู่กับแม่ ถ้าเด็กเลือกที่จะอยู่กับพ่อ พ่อก็เอาเด็กไป ถ้าเด็กเลือกที่จะอยู่กับแม่ แม่ก็เอาเด็กไป
- อย่างไรก็ตามไม่ว่าลูกจะอยู่กับพ่อหรือแม่ จำเป็นที่พ่อจะต้องให้เงินอุปการะค่าเลี้ยงดูจนกว่าเด็กจะบรรลุศานภาวะ (ผู้ชายฝันเปียก รู้จักอารมณ์ทางเพศ ผู้หญิงมีประจำเดือน)


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
และขอบคุณอาจารย์สุธรรม (มับรูก) บุญมาเลิศ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"อิสลามกู้เงินมาสร้างบ้านได้หรือไม่ อย่างไร"

ไม่ได้ เพราะการกู้ยืมทั้งคนกู้และคนให้กู้ (หะรอม) ทั้งคู่ไม่ได้ แต่ตอนนี้มีธนาคารอิสลามที่ให้ความชัดเจนในเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงิน คือ ปลอดดอกเบี้ย อิสลามมีทางออกแล้ว เพราะมีธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บางครั้งดอกเบี้ยไม่ใช่เป็นสิ่งต้องห้ามเสมอไป มันขึ้นอยู่กับวิธีการของเงินเพิ่ม (ดอกเบี้ย) เช่น จากการค้าขายการช่วยเหลือกันนั้นได้ แต่ในลักษณะของดอกเบี้ยในเมืองไทยนั้นหะรอมแน่นอน


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
และขอบคุณอาจารย์สุธรรม (มับรูก) บุญมาเลิศ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"หญิงสาวมุสลิมที่จะเป็นต้องท่องอัลกรุอานเป็นการบ้าน ในช่วงที่เธอมีประจำเดือนอยู่ เธอจะสามารถท่องอัลกรุอานได้หรือไม่ เพราะเหตุใด"

ขึ้นอยู่กับสภาพการ คือ ถ้าหากการท่องอัลกรุอาน จำเป็นที่จะต้องนำไปสอบในวันรุ่งขึ้น โดยไม่มีข้อผ่อนผันที่จะท่องวันอื่นได้ อนุญาตให้ทำได้ เพราะเป็นเรื่องของความจำเป็น แต่ถ้าหากอาจารย์อนุโลมให้ท่องจำอัลกรุอานในวันอื่นได้นั้น คือทำไม่ได้เราจะต้องเลื่อนไปจนกว่าหมดประจำเดือนให้สะอาดก่อน


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
และขอบคุณอาจารย์สุธรรม (มับรูก) บุญมาเลิศ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"มุสลิมสามารถปั้นตุ๊กตาขายได้หรือไม่ เพราะเหตุใด"

อยู่ที่เจตนา กล่าวคือ ในการปั้นตุ๊กตาขานนั้นอยู่ที่เจตนาของเขาว่าเขาทำขายเพื่ออะไร ถ้าหากเขาปั้นตุ๊กตาขายเพื่อให้บุคคลนำไปสักการะ กราบไหว้ บูชานั้นถือว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ในหลักการของอิสลามไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของการทำขายเพื่อที่จะให้เด็กเล่น ทำประโชน์อย่างอื่น เพื่อเด็กที่จะได้เรียนรู้ นั้นย่อมทำได้ไม่ขัดกับศาสนาอิสลามคืออนุญาต


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
และขอบคุณอาจารย์สุธรรม (มับรูก) บุญมาเลิศ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"หากเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของรกหมู สามารถใช้ได้หรือไม่ อย่างไร"

ใช้ไม่ได้แน่นอน เพราะหมูเป็นสิ่งสกปรกตามหลักการของศาสนาอิสลามไม่เป็นที่อนุญาต ที่อิสลามบอกว่าไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะการนำมาบริโภคเท่านั้นที่ถูกห้าม แต่ยังรวมถึงการนำสิ่งต่างๆ ไปใช้ทำส่วนอื่น เช่นเครื่องสำอาง เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะ ไม่มีทางที่จะทำให้หมูนั้นสะอาดได้ ตามหลักการของอิสลาม เพราะฉะนั้นเครื่องสำอางของรกหมู ประกอบไปด้วยส่วนหนึ่งส่วนใดของมหูซึ่งเป็นสิ่งสกปรก ถือเป็นนายิสที่รุนแรง


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
และขอบคุณอาจารย์สุธรรม (มับรูก) บุญมาเลิศ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"กระเทยที่แปลงเพศแล้วสามารถเข้ารับอิสลามได้หรือไม่ อย่างไร"

เข้ารับอิสลามได้ เพราะการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามนั้น ถือว่าทำได้ทุกเพศทุกวัน ใครก็ตามสามารถเข้ารับอิสลามได้ทั้งสิ้น ถ้าหากเข้าไม่รู้ในตอนแรกว่าการแปลงเพศนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม ผิดต่อศาสนาอิสลาม ศาสนาอนุโลมให้ คือชายที่แปลงเพศฮูก่มของเขาก็ยังคงเป็นเพศชายอยู่ หลังที่เขาเข้ารับอิสลามแล้ว อัลลอฮฺไม่เอาโทษ


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
และขอบคุณอาจารย์สุธรรม (มับรูก) บุญมาเลิศ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"กระเทยที่แปลงเพศแล้วสามารถเข้ารับอิสลามได้หรือไม่ อย่างไร"

เข้ารับอิสลามได้ เพราะการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามนั้น ถือว่าทำได้ทุกเพศทุกวัน ใครก็ตามสามารถเข้ารับอิสลามได้ทั้งสิ้น

"มุสลิมสามารถจัดงานแต่งงาน 3 ศาสนาได้หรือไม่ อย่างไร"

มุสลิมไม่สามารถจัดงานแต่งงาน 3 ศาสนาได้ เพราะพิธีกรรมของแต่ละศาสนาย่อมต่างกัน ซึ่งในรูปแบบของศาสนาเช่นพิธีของอิสลาม คริสต์ จีน หรือพุทธย่อมมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน และคนที่ทำนั้นเป็นมุสลิมถือว่า (หะรอม) แน่นอน เพราะการทำเช่นนี้ถือว่าไม่ได้ ผิดต่อหลักการอิสลาม แล้วนอกจากนั้นหากเราเชื่อมั่นว่าการกระทำเช่นนั้นถูกต้อง ถือว่าตกมุรตัร ออกจากการเป็นอิสลามอีกด้วย (ขอความชี้นำหนทางที่ถูกต้องและพระองค์ทรงโปรดปรานแก่พี่น้องมุสลิมทุกคนด้วนเถอด)


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
และขอบคุณอาจารย์สุธรรม (มับรูก) บุญมาเลิศ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ดมยาดมขณะถือศีลอดได้หรือไม่ อย่างไร"

หากวัตถุได้เข้าภายในที่เรียกว่าทวารเปิด เช่น ปาก จมูก รูหู รูทวารหน้า และทวารหลัง ทั้งหญิงและชายนั้น ย่อมทำให้เสียศีลอด คำว่า วัตถุในที่นี้ก็หมายถึง สิ่งที่มองเห็นด้วยตา ฉะนั้นแล้วการสูดดมยาดมไม่ทำให้เสียศีลอด เพราะกลิ่นยาดมที่สูดเข้าไปนั้นไม่ใช่เป็นวัตถุที่มองเห็นด้วยตา แต่อย่างไรก็ตามในทางที่ดีนั้นเราก็ไม่ควรกระทำ (ดมยาดม) นอกเสียจากเราคัดจมูก รำคาญจริงๆ หายใจไม่ออก แก้ปัญหาเหล่านี้นั้นถือว่าไม่เป็นไร


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"การแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีรสซ่าขณะถือศีลอดทำให้เสียศีลอดหรือไม่ อย่างไร"

การแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีรสซ่านั้น ไม่ทำให้เสียศีลอด เพราะ เราไม่ได้กลืนหรือกินเข้าไป แต่ควรระวังอย่าให้แปรงสีฟันหรือสารยาสีฟันเข้าไปยังคอหอย ซึ่งคอปอยถือว่าเป็นส่วนภายในและหากมีสิ่งที่เป็นสารยาสีฟันเข้าไปก็จะทำให้เสียศีลอด แต่ถ้าหากกลิ่นของยาสีฟันหรือรสชาติซ่าของมันยังคงอยู่ ก็ถือว่าสิ่งดังกล่าวนั้นไม่มีผลกระทบที่ทำให้เสียศีลอดตราบใดที่ตัวยาหรือสารยาสีฟันได้หายไปแล้ว


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ฉีดสเปรย์ป้องกันหอบหืดทำให้เสียศีลอดหรือไม่ อย่างไร"

สเปรย์ที่ใช้ฉีดเป็นละอองลอยเข้าทางปากหรือทางจมูกขณะเกิดอาหารหอบหืดในช่วงที่ถือศีลอด เพื่อเป็นตัวยาในการรักษาบรรเทาอาหาการหอบหืดนั้นไม่เป็นไร เพราะไม่ได้กลิ่น อีกทั้งที่เราฉีกสเปรย์นั้นก็เพื่อห้องกันหอบหืด ฉีดให้ลำคอสะดวก ขยายขึ้น อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยเกิดอาการหอบหืดกระทันหันขณะถือศีลอดนั้น ก็ค่อยๆ ฉีดสเปรย์เข้าไปทีละนิดละน้อยเพื่อไม่ให้ส่วนละองที่เป็นน้ำซึ่งเป็นส่วนผสมของสารตัวยาเข้าไปภายใน เพราะตัวยาที่เข้าไปนั้น มันจะเข้าไปในรูปแบบของยาดมหรือน้ำหอม ก็ถือว่าไม่ทำให้เสียศีลอด


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"น้ำอสุจิออกมาขณะถือศีลอดทำให้เสียศีลอดหรือไม่ อย่างไร"

หากน้ำอสุจิที่มานั้น เจตนาทำให้ออกมา เช่น ทำให้ออกมาด้วยมือตนเอง มือของภรรยา หรือการด้วยการสัมผัส จุมพิต แล้วน้ำอสุจิออกมา ถือว่าทำให้เสียศีลอด แต่ถ้าหากน้ำอสุจิออกมาโดยมิได้เจตนา เช่น ฝัน คิดจินตนาการ หรือมองด้วยอารมณ์จนน้ำอสุจิออกมานั้น ไม่ทำให้เสียศีลอดแต่อย่างใด

บางทัศนคติ....การที่น้ำอสุจิออกมาด้วยการคิดจินตนาการ หรือการมองด้วยอารมณ์จนน้ำอสุจิไหลออกมานั้นถือว่าไม่ได้ เพราะการถือศีลอดนั้นไม่ได้หมายความว่า ...เราอดข้าวอดน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการที่เราอดทนต่อการกินการดื่ม การคิด รวมถึงทางด้านอารมณ์ต่างๆ ที่เบี่ยงเบนไปในทางที่ไม่สมควร หรือ อาจสรุปได้ว่า...การถือศีลอดนั้นเราต้องถือศีลอดทั้งกาย วาจา ใจ ต้องอยู่ในความสงบสเหี่ยม เรียบร้อยถ่มตน

หนทางที่ดีที่สุดระหว่างที่ถือศีลอด คือ การอ่านอัล-กรุอาน การกล่าวซีเกรฺต่ออัลลอฮฺ การเอี๊ยะตีกัฟในมัสยิด หรือการที่เรานั้นนอนหลับไปเลยก็ได้ เพราะว่าจิตใจเราจะได้สงบไม่คิดในเรื่องที่บั่นทอนศีลอดเรา และเรื่องที่จะทำให้ศีลอดเรานั้นเสีย

เพราะฉะนั้นทัศนติแรกอาจจะถูกบดบังด้วยเหตุผลทั้งปวง


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ถ้าได้ยินเสียงอะซานแล้วกินข้าวซูโฮรฺต่อได้หรือไม่ อย่างไร"

ถ้าหากเราได้ยินเสียงอะซานขณะที่เราทานข้าวซูโฮรฺนั้นเราควรหยุดทันทีไม่ควรทานต่อ และถ้าหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรืออาหารที่ค้างอยู่ในปากนั้นให้เราคายทิ้ง ห้ามกลืนเข้าไป


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ถ้าชดศีลอดในปีที่ผ่านมาไม่หมด อยากทราบว่าต้องทำอย่างไร จะต้องจ่ายฟิตยะห์หรือไม่"

ถ้าหากเราชดศีลอดในปีที่ผ่านมาไม่หมดเราก็ควรถือศีลอดชดใช้ตามจำนวนที่เราขาดจนกว่าจะหมด และไม่จำเป็นต้องจ่ายฟิตยะห์ใดใดทั้งสิ้น


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ตื่นนอนไม่ทันกินข้าวซูโฮร การถือศีลอดใช้ได้หรือไม่ อย่างไร"

การทานซูโฮรนั้น เป็นเพีงสุนัตของการถือศีลอด ไม่ใช่เงื่อนไขหรือองค์ประกอบของการถือศีลอด ดังนั้นหากตื่นมาทานข้าวซูโฮรทันหรือไม่ทัน ก็จำเป็น (วายิบ) ต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน เพราะฉะนั้นสุนัตสำหรับผู้ถือศีลอดให้ทานซูโฮร เพราะหะดิษบุคอลี่และมุสลิมรายงานว่า พวกท่านจงทานซูโฮร เพราะในซูโฮรนั้นมีความประเสริฐ


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ใช้น้ำยาบ้วนปากขณะถือศีลอดได้หรือไม่ อย่างไร"

การใช้น้ำยาบ้วนปากไม่ทำให้เสียศึลอดแต่อย่างใด เพราะการใช้น้ำยาบ้วนปากนั้นไม่ได้เลยลำคอเข้าไป แค่ผ่านช่องปากมา


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"การเลียปาก ฉีดยา และใช้ยาหยอดตาทำให้เสียศีลอดหรือไม่ อย่างไร"

*-*การเลียปากนั้นอนุญาตให้เลียปากในขณะที่ถือศีลอดได้

*-*ส่วนเข็มฉีดยาที่ฉีดลงไปที่กล้ามเนื้อหรือเส้นเลือกนั้น ไม่ทำให้เสียศีลอด เพราะมันมิได้กินเข้าไปตามหลักศาสนาที่ห้ามกิน ห้ามดื่มในขณะที่ถือศีลอด

*-*และการใช้น้ำยาหลอดตาก็ไม่ทำให้เสียศีลอดเช่นเดียวกัน เพราะบริเวณดวงตาไม่มีรูโพรงที่จะทำให้เข้าไปถึงภายใน และไม่ได้กินเข้าไปตามหลักศาสนาที่ห้ามกิน ห้ามดื่มในขณะที่ถือศีลอด


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วยังไม่ได้อาบน้ำประจำเดือน สามารถถือศีลอดได้ไหมในวันรุ่งขึ้น"

ผู้ที่มีอาดัษหรือมียูนุบนั้น วายิบต้องถือศีลอด เฉกเช่นผู้ที่หมดประจำเดือนแต่ยังไม่ได้อาบน้ำประจำเดือนเขาก็ต้องถือศีลอดเช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า "หากสตรีผู้มีเลือกประจำเดือนหรือเลือดหลังจากการคลอดบุตร (นิฟาส) ได้เกลี้ยงในยามค่ำคืนและนางได้ทำการเหนียตถือศีลอดและก็ทำการถือศีลอดหรือผู้มียูนุบได้ทำการถือศีลอดโดยยังมิได้อาบน้ำ (ยกฮาดัษ) นั้น การถือศีลอดย่อมใช้ได้เพราะมีหะดิษบุคอรีและมุสลิมระบุว่า "ปรากฎว่าตอนซุบฮิท่านนบีอยู่ในสภาพมียูนุบที่ไม่ใช่มาจากความฝันหลังจากนั้นท่านได้อาบน้ำและทำการถือศีลอด" ดังนั้นให้นำผู้ที่มีประจำเดือนและนิฟาสมาเปรียบเทียบ (กิยาส) กับ (หลักการของ) ผู้ที่มียูนุบได้" ส่วนการนำหลักการของผู้ที่มีประจำเดือนกับนิฟาสมาเปรียบเทียบกับหลักการของผู้มียูนุบนั้นคือ เมื่อเข้าเวลาถือศีลอดหลังอะซานซุบฮ์แล้วแม้ยังไม่อาบน้ำยกฮาดัษ การถือศีลอดยังใช้ได้ และจำเป็นต้องถือศีลอดดังนั้นผู้ที่เกลี้ยงจากประจำเดือนและนิฟาสก็เช่นเดียวกัน


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"ถือศีลอดขณะมียูนุบ (มีเพศสัมพันธ์) ได้หรือไม่ อย่างไร"

การถือศีลอดขณะเรามียูนุบนั้นได้ เพราะท่านนบีมูอัมหมัด ซล. ได้บอกเอาไว้ว่าถ้าหากเรามียุนุบตอนกลางคืนแล้วเราไปถือศีลอดในวันรุ่งขึ้นนั้นได้ ดังรายงานที่ "ปรากฎว่าตอนซุบฮิท่านนบีอยู่ในสภาพที่มียูนุบที่ไม่ใช่มาจากความฝัน หลังจากนั้นท่านได้อาบน้ำและทำการถือศีลอด" แต่ถ้าหากเรามียูนุบตอนกลางวันนั้นถือว่าไม่ได้ เพราะเราตั้งใจและจะทำให้เราเสียศีลอดในวันนั้นไปเลย


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงคำถาม

"การกลืนน้ำมูกที่อยู่ในลำคอและในรูจมูกทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะหรือไม่ เพราะเหตุใด"

กรณีน้ำมูกที่อยู่ในลำคอหรือรูโพรงจมูกแล้วลงมาที่ลำคอนั้นหากน้ำมูกอยู่เขตภายนอก นั้นถ้ากกลืนเข้าไปภายในถือว่าทำให้เสียศีลอด แต่ถ้าหากอยู่เขตภายในลำคอและไม่สามารถที่จะขากมันออกมาได้ หลังจากนั้นเขาได้กลืนมันลงไป ก็ถือว่าไม่เป็นโทษแต่อย่างใดและไม่ทำให้เสียศีลอด หรือที่เข้าใจกันง่ายๆ โดยทั่วไปคือหาดน้ำมูกอยู่เฉยๆ ในที่ของมันไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากสูดเข้าไปในลำคอก็ให้เราบ้วนออกมาซ่ะ


muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณอาจารย์ทวี (ซาฟีอี) นภากรณ์ ที่ให้ความรู้และชี้แจงตอบคำถาม

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยอาจารย์อัลดุลวาเฮด หวังประโยชน์

มัสยิดมีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมุสลิมเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่น่านนบี ศอลฯ ได้ใช้มัสยิดเป็นศูนย์กลางการบัญชาการเรื่องศาสนา ก็สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนในอดีตให้มีคุณธรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากมัสยิดเป็นเป็นสถานที่ละหมาดที่ให้ผลบุญมหาศาลแล้วยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกมากมาย แม้เพียงแค่เข้าไปนั่งพักผ่อน อ่านกุรอานก็เกิดประโยชน์กับผู้ศรัทธาแล้ว มัสยิดยังเป็ที่มาของการเข้าสวรรค์ของผู้ศรัทธาอีกด้วย หากผู้ศรัทธาเข้าใจในคำสอนของท่านนบีที่ว่า "ผู้ใดสร้างมัสยิดเพื่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ซบ. อัลลอฮฺจะสร้างบ้านให้กับเขาหนึ่งหลังในสวรรค์" บุคอรี่ มุสลิม

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เราแข่งขันกันสร้างมัสยิดใหใหญ่โต แต่ไม่มีผู้คนละหมาดจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของวันกิยามะฮฺที่มีแต่อาคารที่ใหญ่โตแต่ไร้คนละหมาดดังที่ท่านนบีศอลฯได้กล่าวว่า "หนึ่งในสัญญานวันกิยามะฮฺคือการแข่งขันกันสร้างมัสยิดให้ใหญ่โต"

ดังนั้นมัสยิดมีความจำเป็นสำหรับชุมชนมุสลิม แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการสร้างมัสยิดก็คือการสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจคนพาคนให้เข้ามัสยิด และมัสยิดจะมีคุณค่า มีความสำคัญและเป็นประโยชน์มากหากผู้ดูแลรู้และเข้าใจศาสนา แต่ถ้าหากว่าผู้ดูแลวันนี้อ่านกุรอานไม่ออก ไม่ละหมาด บ้านของอัลลอฮฺจะเป็นอย่างไร? ลองนึกดู!


Muslim Hot Report : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยคุณสมชาย แพจิตต์

(ทนายความ) : อิหม่ามมัสยิดเนียะมะตุ้ลอิสลาม

มัสยิดที่อัลลอฮฺมิให้เราเข้าไปทำการละหมาด คือ มัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อให้ร้ายและยังอันตรายและสร้างความเดือดร้อน มัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อการปฏิเสธทรยศปิดบังซ้อนเร้นการร้าย มัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างศรัทธาชนมัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อซ่องสุมกำลังเพื่อการรบกับอัลลอฮฺ โดยทางศาสนทูตของพระองค์ หากมัสยิดหนึ่งมัสยิดเข้าข่ายข้อหนึ่งข้อใดพระองค์ทรงห้ามศรัทธชนที่จะเข้าไปทำละหมาดในนั้นตลอดไปตามพระราชบัญญัติบรหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 มาตรา 23 หากจังหวัดใดมีมัสยิดไม่น้อยกว่าสามมัสยิดก็สามารถมีคณะกรรมการอสลามประจำจังหวัดได้ มีอยู่บ้างที่พยายามสร้างมัสยิดหลังที่สามขึ้นเพื่อให้เกิดคณะกรรมการอสลามประจำจังหวัดแต่มิได้เริ่มต้นด้วยบนความยำเกรง ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย บางทีก็สร้างมัสยิดขึ้นใหม่เพราะความเห็นไม่ลงรอย เกิดจากการแตกแยก สิ่งเหล่านี้มิอาจปฏิเสธได้ว่ามีอยู่จริง ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสร้างมัสยิดซึ่งเป็นของอัลลอฮฺนั้นจะต้องเริ่มต้นด้วยคำว่า "ตักวา" และสิ่งหนึ่งต้องคำนึงถึงการบำรุงรักษา หากเราสร้างตามความเมหาะสมการดูแลรักษา ก็ไม่เป็นภาระและเรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นหน้าที่และภาระที่จะต้องดูแลรักษาและพัฒนามัสยิดของอัลลอฮฺดังพระองค์ทรงมอบหมายให้บุคลลที่มีลักษณะดังที่ว่า "อันที่จริง ที่จะทำการพัฒนาบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺนั้น คือ ผู้ที่ศรัทธาต่อัลลอฮฺและวันสุดท้าย อีกทั้งดำรงการละหมาด บริจาคซะกาต และเขาไม่เกรงกลัวใครนอกจากอัลลอฮฺ อังนั้นจึงหวังได้ว่าชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้ที่ได้รับการชี้นำ"

Muslim Hot Report : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยอิหม่ามยาห์ยา เฮนดี

(อีหม่ามประจำมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ประเทศสหรัฐอเมริกา) การสร้างมัสยิดเป็นการยกระดับมนุษย์ต่ออัลลอฮฺ ถือว่าเป็นการเตรียมสวรรค์ไว้ในอนาคตสำหรับเรา มัสยิดก็คือสถานที่ที่เรามีความรู้สึกเหมือนบ้านของเรา เป็นแหล่งที่เราเรียนรู้ มีสันติเกิดขึ้น และมัสยิดก็ไม่ใช่แค่สถานที่ที่เราไปละหมาดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสถานที่ที่เราจะสร้างศักยภาพให้กับตัวเราเอง และเป็นการสร้างสรรค์สังคม เรียนรู้ รู้จักซึ่งกันและกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีไม่เฉพาะแต่พระเจ้าแต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน และไม่อยากให้คิดว่ามัสยิดเป็นแค่สถานที่ที่ละหมาด 5 เวลาเท่านั้น แต่แน่นอนการละหมาด 5 เวลาก็มีความสำคัญมาก นอกจากนั้นแล้วมัสยิดก็ยังเป็นศูนย์กลางของชุมชน เพื่อที่จะให้ทุกๆ คน ในครอบครัวและระหว่างครอบครัวได้มีความรู้จักกัน มาสังสรรค์กัน ซึ่งเหล่านี้จะได้รับการแพร่หลายในมัสยิดทั่วโลก และต้องการให้มัสยิดเป็นสถานที่เรียนรู้ถึงวัฒนธรรม คำว่า "สันติภาพ" และให้เราเรียนรู้ว่าเราจะต้องรักอะไร ปฏิบัติสิ่งไหน ยังไง ไม่เฉพาะผู้คนเพียงอย่างเดียวแต่จะรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่อยู่บนโลกที่เราควรจะรักสิ่งนี้และช่วยกันอนุรักษ์ไว้ครับ

Muslim Hot Report : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"

"คุณค่าของการสร้างมัสยิด" โดยคุณวีระ สวัสดิ์มณี

(ผู้บริหารงานโรงแรมมุสลิมมืออาชีพ) การสร้างมัสยิดนับว่าเป็นผลบุญมหาศาล มัสยิดเปรียบเสมือนบ้านชองพระผู้เป็นเจ้า เป็นจุดศูนย์รวมชองคนในสังคมมุสลิม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบคุณงามความดีมาจบที่บ้านของอัลลอฮฺ (มัสยิด) ฉะนั้นถ้าหากเรามีความสามารถไม่ว่าจะเป็นกำลังกาย กำลังทรัพย์ ที่จะช่วยกันสร้างมัสยิด นับว่าเป็นผลบุญที่ยิ่งใหญ่เห็นว่ามุสลิมในชีวิตหนึ่ง ถ้าจะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใด อยากให้มองไปที่บ้านของอัลลอฮฺเป็นอันดับแรก

Muslim Hot Report : รายงาน
ขอขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"