วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

"ไม่ให้หญิงมุสลิมคลุมศรีษะ" เพื่อแบบฟอร์มเดียวกันของบริษัท หรือ สนองตันหาและกามรมณ์ของตน(ผู้ชายผู้บริหาร) กันแน่

ณ ปัจจุบัน มีการอ้างกันต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องการห้ามผู้หญิงมุสลิม ไม่ให้แต่งกายตามกฎบัญญัติของศาสนาอิสลาม (เรื่องการห้ามไม่ให้คลุมศรีษะ รวมถึงการไม่ค่อยให้การยอมรับเกี่ยวกับการแต่งกายมิดชิด) อะไรคือต้นเหตุ อะไรคือปลายเหตุของการห้าม


เหตุผลว่าทำไมถึงต้องห้าม...คือ ..เหตุผลยอดฮิตที่สุดที่จะได้รับจากผู้บริหารหื่น มุ่งแต่เรื่องกามอารมณ์นั่นก็คือ "เพื่อให้เป็นแบบฟอร์มเดียวกันกับคนอื่น เพื่อให้เกิดความแตกต่างและแตกแยก"


และสิ่งที่ครหานินทากลับมานั่นก็คือ "การที่บังคับให้ผู้หญิงมุสลิมคลุมศรีษะนั้นเป็นการละเมิดทางเพศ" ..ช่างพูดได้เหลือเกินนะพวกงี่เง้า....
-ทำไมถึงคิดกันเช่นนั้น?
-ทำไมต้องมาละเมิดสิทธิ์ในความเชื่อของศาสนาอิสลาม? ในเมื่อศาสนาอิสลามเราไม่เคยเข้าไปละเมิดสิทธิ์ในความเชื่อของศาสนาอื่น อีกทั้งเรายังขอแยกการปฏิบัติว่าของศาสนาอื่นเค้าก็ปฏิบัติกันไปตามศาสนาของเค้า ส่วนเราๆ ก็ปฏิบัติของเราไป
-ทำไมต้องสงสัยในความเชื่อของอิสลาม? ในเมื่ออิสลามไม่เคยสงสัยความเชื่อของศาสนาอื่น

สำหรับประเทศไทย..รัฐบาลหรือหน่วยงานทางภาครัฐไม่เคยมีกฎหมายเกี่ยวกับการห้ามดังกล่าว แต่ก็ยังมีบางสถานที่ที่เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่สั่งห้ามไม่ให้บุคลากรในหน่วยงานแต่งตัวตามแบบแผนของศาสนาอิสลาม เช่น วิทยาลัยเทคนิคบางแห่งของภาคใต้ตอนบน(เกิดจากความเป็นจริงผู้ที่เกี่ยวขอความกรุณาตรวจสอบด้วยนะครับ)

คำถาม?
ว่าทำไมต้องห้าม?
เหตุผลที่ห้ามดีพอแล้วหรือยัง?
คุณห้ามเพราะตันหา หรือ กามอารมณ์ของผู้บริหารหรือป่าว?
สิ่งที่คุณชอบและโปรดปรานคือการแต่งกายโชว์อวัยวะเพศอย่างนั้นหรือ?
แล้วปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ที่เกี่ยวกับการละเมิดทางเพศที่คุณต้องการแก้ไขอยู่ คุณยังใฝ่ฝันอยู่ใช่หรือไม่?


ถ้าคุณยังมีวัฒนธรรมการอยากเห็นผู้หญิงแต่งกายสวยงาม เปิดส่วนเว้าส่วนโว้ง ส่วนที่ดึงดูดความต้องการทางเพศอยู่ พวกคุณๆ ที่อวดตัวเองว่าฉลาดเป็นคนมีความรู้ความสามารถ..อย่าหวังเลยว่าปัญหาทางสังคมด้านอาชญากรรมเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศจะหมดไป

ด้วยเหตุดังกล่าว...นั่นแหละที่ อิสลามต้องสั่งให้ผู้หญิงคุมศรีษะ แต่งกายมิดชิด เพราะหลักการของอิสลามได้คำนึงเห็นถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงต้นเหตุของปัญหาเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าเกิดเหตุแต่ละครั้ง แต่ละอย่างก็มัวแต่จะตามแก้ไขปัญหากันตรงที่ปลายเหตุ แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับ? ปัญหาที่เราต้องการแก้ไขมันจะหมดไปในเมื่อเราเองยังสนับสนุนให้ผู้ที่ทำผิดได้กระทำกันต่อไป ยังเปิดโอกาสหรือช่องทางที่จะให้คนทำผิดสามารถเดินทางเข้าไปได้ มันไม่ต่างอะไรกับการที่เราตำน้ำพริกละลายมหาสมุทรหรอกครับ (ถ้ากระทำกันในเรื่องของการแก้ไขปัญหากันเหมือนกับที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้อย่าทำดีกว่าครับ...เพราะ..มันไร้ประประโยชน์)


สำหรับ หญิงมุสลิมเอง ก็ใช่ว่าจะไม่พูดถึง...
เคยบ้างไหม..ที่จะคิดรณรงค์ให้เพื่อนกลุ่มสตรีด้วยกันหันมาคลุมศรีษะ?

เคยบ้างไหม..ที่จะคิดรณรงค์ให้เพื่อนกลุ่มสตรีด้วยกันหันมาแต่งกายมิดชิด?
เคยบ้างไหม..ที่จะคิดออกเสียง ขอสิทธิ์ความเป็นธรรมจากเจ้านายหรือสังคมในการที่จะแต่งกายให้ถูกต้องตามหลักศาสนา ตามบทบัญญัติของศาสนาที่พระองค์อัลลฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงลงมาให้พวกท่านได้ปฏิบัติตาม?

แล้วคุณล่ะวันนี้ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาแล้วหรือยัง?
ได้ตักวาต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้วหรือยัง?
ได้ให้ความสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามอันเป็นแนวทางที่คุณเลือกที่จะอยู่ คุณเลือกที่จะศรัทธา คุณเลือกที่จะปฏิบัติในร่องในรอยของอัลอิสลามของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้วหรือยัง?
และที่สำคัญ คือ คุณได้ทำเพื่อศาสนาของอัลลอฮฺบ้างหรือยัง?

ถ้าคุณยังไม่ได้ทำ..และคุณก็ยังมีความต้องการที่ตั้งใจจริง ที่แน่วแน่ที่จะอยู่กับแนวทางที่อัลลอฮฺให้การรับรอง มันถึงเวลาแล้วนะครับที่คุณต้องหันมาทางแห่งความจริง ทางที่คุณควรกระทำตาม ก่อนที่คุณจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป

ขอพระองค์อัลลอฮฺได้คุ้มครองกลุ่มคนที่ศรัทธาด้วยเถิด


ยากไหมครับที่จะแต่งแบบนี้ (สิ่งที่ยากกว่านั่นก็คือ การทำจิตใจให้สะอาดเหมือนการแต่งกายมากกว่านะครับ)



present by muslimhotreport.
http://muslimhotreport.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

"มากกว่าผ้าคลุมผม" ฝากไว้ให้คิด

-สำหรับเพื่อนมุสลิม-
                เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงช่วยสร้างความกระจ่างแก่มุสลิมะฮฺในเรื่องความหมายของการคลุมฮิญาบตามบัญชาของอัลลอฮฺมากขึ้นขอฝากไว้ว่าโทษของมุสลิมะฮฺที่แต่งกายไม่เรียบร้อยออกนอกบ้านนั้น คำนวณจากเวลาที่ออกนอกบ้าน จำนวนคนที่มอง รวมถึงคนที่มองแล้วเกิดฟิตนะฮฺ (ความวุ่นวายปั่นป่วน) ด้วยแล้ว โทษก็จะยิ่งมากขึ้น ผู้ชายที่มองก็รับความผิดส่วนหนึ่ง แต่ต้นเหตุเริ่มจากมุสลิมะฮฺคนนั้นต้องรับความผิดด้วย
                มีหะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด
[ขอความสันติและความจำเริญจากอัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน] ว่า “ชัยฎอนจะอยู่กับสตรีที่ออกนอกบ้าน และดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง” แสดงว่านี่เป็นอุบายของชัยฏอน ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกและการลังเลใจใดๆ อีกแล้วสำหรับผู้ศรัทธาที่ยังไม่สวมอาภรณ์อันมีเกียรตินี้ เพราะเป็นการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ
                จงรีบเร่งไปสู่การขออภัยโทษเถิด โอ้สตรีทั้งหลายเอ๋ย
! หากว่าเธอยอมรับในความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของอัลลฮฺ ยอมรับอิสลามเป็นระบอบการดำเนินชีวิต นบีมุฮัมมัด [ขอความสันติและความจำเริญจากอัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน] เป็นรอซูล และถือเอาบรรดาภรรยา บรรดาบุตรสาวของท่าน ตลอดจนบรรดามุอฺมินาต (บรรดาผู้ศรัทธาหญิง) ทั้งหลายเป็นแบบฉบับและแบบอย่างอันดีงาม
                หากบรรดามุสลิมีน (บรรดาชายมุสลิม) ได้อ่านข้อความต่างๆ ในบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ โปรดอบรมสั่งสอนตักเตือนบรรดาสตรีในการดูแลของพวกท่านเถิด หากพวกเธอละทิ้งการคลุมฮิญาบเนื่องจากความอายที่เป็นเป้าสายตาเนื่องด้วยการแต่งกายที่ต่างต่างมากกว่าความกล้าที่จะแสดงออกถึงความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ เหตุใดเธอจึงไม่มีความละอาย ในการฝ่าฝืนอัลลอฮฺและเปิดเผยสิ่งที่พึงปกปิด และเหตุใดเธอจึงไม่มีความภาคภูมิใจในลักษณะเด่นของเธอที่แตกต่างจากผู้อื่น คือ การปกปิดศีรษะ การยึดมั่นในมารยาทที่ดีงามและบัญญัติอิสลาม นับเป็นสิ่งที่น่าประหลาดเหลือเกินที่เธอมีความอายในสิ่งที่จะทำให้เธอมีเกียรติ
-สำหรับเพื่อนต่างศาสนิก-
                ในสายตาของคุณ อาจเห็นว่าเราแปลกหน้า แปลกความคิด แปลกการแต่งกาย และมีหลายต่อหลายอย่างที่แปลกมากว่านั้น... เราหวังว่าบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่คุณไดอ่าน จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับการคลุมฮิญาบ รวมถึงทรรศนะการคลุมฮิญาบที่แตกต่างกันมากขึ้น หากคุณสนใจและรู้สึกถึงความปลอดภัยที่ได้จากการปกปิดร่างกายแบบเราแล้ว เราก็ไม่สงวนสิทธิ์ ..เพราะเราและคุณก็เป็นหนึ่งในสิ่งถูกสร้างจากพระผู้สร้างองค์เดียวกันจึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์
                ท้ายสุด สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์มุมานะในการอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้จนจบ แม้บางคนอาจจะอยากรู้เพียงบางเรื่องก็ตามขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ได้โปรดทรงเปิดหัวใจและนำทางที่ถูกต้องยังพวกเราและพวกท่านด้วยเถิด


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

"มากกว่่่าผ้าคลุมผม" ปัญหาปวดหัว!!

                ถ้าคุณคือมุสลิมะฮฺที่ไม่คลุมฮิญาบ
                                เราขอเชิญชวนให้คุณคลุมฮิญาบอย่างถูกต้องและแต่งกายมิดชิดเรียบร้อย อย่าคิดว่าเพียงไม่คลุมฮิญาบอย่างเดียวไม่เป็นไรหรอก ทำความดีอื่นๆ ก็พอแล้ว เพราะการไม่คลุมฮิญาบนั้นทำให้ยากต่อการแสดงจุดยืนของมุสลิมในการปฏิบัติความดี หรืออาจเป็นหนทางนำไปสู่ความชั่วอื่นๆ ได้ เช่น ขณะที่คุณกำลังร่วมวงกับคนที่ไม่ใช่มุสลิมแล้วต้องปลีกตัวไปละหมาด นั่นอาจเป็นการยากที่คุณจะกล้าพูดและปลีกออกมา เพราะสภาพภายนอกของคุณไม่ได้บ่งบอกถึงการยึดมั่นและเคร่งครัดปฏิบัติตามหลักการศาสนาในทางตรงกันข้าม ถ้าฮิญาบคืออาภรณ์ของคุณ อย่างน้อยที่สุด ผู้ที่ร่วมอยู่กับคุณในเวลานั้นจะรับทราบโดยอัตโนมัติเลยว่าคุณต้องละหมาดซึ่งนั่นคงไม่ยากที่คุณจะปลีกตัวออกมา
                นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่แสดงถึงข้อดีของคลุมฮิญาบถ้าคุณไดลองปฏิบัติ คุณจะรู้สึกว่า “ฮิญาบมีดีกว่าที่คุณคิด” คุณจะรู้สึกซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้อภิบาล ผู้ทรงเมตตาต่อมวลมนุษย์
ถ้าคุณคือมุสลิมะฮฺที่คลุมฮิญาบ
                เราขอเรียกร้องให้คุณหมั่นทบทวนและตรวจสอบตนเองอยู่เสมอ อย่าคิดว่าฮิญาบของฉันสมบูรณ์แล้ว เพราะแน่นอนว่าความศรัทธาของทุกคนย่อมมีขึ้นมีลง ต้องระมัดระวังและเสริมสร้างความศรัทธาอยู่เสมอ โปรดอย่าเพิกเฉยละเลยจนกระทั่งวันหนึ่งฮิญาบของคุณถูกลดทอนความสมบูรณ์ลง อย่าให้ความทะนงตนทำให้เราเย่อหยิ่งและดูถูกคนอื่น โปรดอย่าคิดว่า “ฉันดีแล้ว” หรือ “ฉันดีกว่า” เพราะความรู้สึกนี้อาจเป็นอุปสรรคขวางกั้นการพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น
                ขอให้เรามองพี่น้องมุสลิมด้วยความรักและปรารถนาสิ่งดีแก่เขาดังเช่นที่เราปรารถนาสิ่งดีแก่ตนเอง ด้วยความรู้สึกเช่นนี้จะทำให้คุณมีความอ่อนโยนและจริงใจในการเรียกร้องเชิญชวนพี่น้องมุสลิมะฮฺและหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นจะประสบกับพี่น้องของเรา
ถ้าคุณกำลังมองคนที่คลุมหน้า
                เราขอให้คุณมองด้วยสายตาที่ไม่ลำเอียง โปรดอย่างสร้างมาตรฐานว่า “เธอคลุมหน้าแล้วต้องเป็นอย่างนั้น ต้องไม่เป็นอย่างนี้” เพราะมุสลิมะฮฺที่คลุมหน้าก็ไม่ได้พิเศษกว่าคนอื่น เพียงแตกต่างกันในเรื่องการแต่งกายเท่านั้น คนคลุมหน้าไม่ใช่คนที่สมบูรณ์จนไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้ เป็นเพียงคนที่พยายามปฏิบัติในเรื่องหนึ่งให้ดีที่สุด และอาจต้องใช้เวลาในการปรับปรุงเรื่องอื่นๆ ก็เป็นได้
ถ้าคุณคือมุสลิมะฮฺที่ปิดๆ เปิดๆ (หน้า)
                เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าอะไรคือแรงจูงใจของคุณ หากการที่คุณเริ่มคลุมหน้าในบางโอกาส คือ การเริ่มต้นสร้างความมั่นใจสำหรับการคลุมหน้า เรายินดีสนับสนุน และขอแนะนำให้คุณศึกษาหลักฐานอย่างจริงจังและจริงใจ ในการวิงวอนขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ ...หากพระองค์ทรงประสงค์ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับคุณ
                แต่หากการคลุมหน้าบางโอกาสของคุณ เป็นไปเพียงเพื่อการยอมรับของคนบางกลุ่ม หรือเพื่อให้บางคนเห็นว่าคุณเคร่งครัดนั่นไม่ใช่ลักษณะที่มุสลิมพึงปฏิบัติ มุสลิมที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ที่ต้องการในมนุษย์คนใดคนหนึ่งยอมรับ ในขณะที่อัลลอฮฺทรงรอบรู้ความคิดชั่วร้ายของเขาที่ซ่อนอยู่ เขาคิดจะหลอกลวงอัลลอฮฺ กระนั้นหรือ?? เปล่าเลย เขากำลังหลอกตัวเองและสร้างความลำบากให้กับตัวเองต่างหาก เขาต้องคอยหวาดระแวงเสมอว่าจะมีใครรู้ความจริงของเขาหรือไม่
                หากคุณมีความคิดเช่นนี้ เราขอเรียกร้องให้คุณกลับเนื้อกลับตัวและขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ หมั่นตรวจสอบจิตใจตนเองอยู่เสมอว่า คุณมีความบริสุทธิ์ใจและพร้อมที่จะบอกกับทุกคนว่า “ฉันคลุมหน้าแค่บางโอกาสเท่านั้น” นี่คือการเริ่มต้นนะ” ..ด้วยความคิดเช่นนี้ คุณจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าใครจะรู้ความลับของคุณ
......โปรดอย่าลืมว่า อัลลอฮฺ คือ ผู้ทรงรอบรู้ทุกความคิดและการกระทำและไม่มีใครสามารถช่วยตรวจสอบความคิดของคุณได้นอกจากตัวเอง


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

"มากกว่่าผ้าคลุมผม" เข้าใจผิด!!

                ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคลุมฮิญาบของมุสลิมะฮฺในมุงมองของคนที่ไม่ใช่มุสลิมนั้น มีคำพูดมากมายที่เกิดจากความไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์และข้อสั่งใช้ของอัลลอฮฺ เช่น เห็นว่าการคลุมฮิญาบและแต่งกายมิดชิดของสตรีมุสลิมเป็นการกดขี่ทางเพศเนื่องจากสมัยนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ วัตถุและเงินมีอำนาจซื้อได้ทุกอย่างแม้นกระทั่งจิตใจมนุษย์ให้หลงระเริงตามแฟชั่นหลากสไตล์การแต่งกายด้วยผ้าบางเบา พลิ้วไหว และน้อยชิ้น กลับเป็นสิ่งสวยงาม ท่ามกลางสังคมที่ตกต่ำ มีคำกล่าวว่า “ผู้หญิงมีดีก็ต้องโชว์” “ผู้หญิงตอนนี้เท่าเทียมผู้ชายแล้ว โดยที่พวกเธอลืมไปว่าร่างกายของสตรีนั้นถูกสร้างมาให้มีความแตกต่างจากชาย ทั้งในด้านสรีระและความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ทำให้พละกำลังของหญิงน้อยกว่าชาย หรือจะเรียกได้ว่าเพศหญิงนั้นเป็นเพศที่อ่อนแอ เราต้องยอมรับความจริงในข้อนี้ และจากการหลงลืมนี้เอง ทำให้หลายๆ คนในสังคมไม่เข้าใจว่าทำไมมุสลิมะฮฺจึงต้องแต่งกายมิดชิดนักหนา
                หากคุณเปิดใจรับฟังและยอมรับความเป็นจริงข้างต้น คุณจะเข้าใจว่าเราคลุมฮิญาบกันทำไม และคุณก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสั่งใช้ให้มุสลิมะฮฺคลุมฮิญาบและแต่งการมิดชิดนั้น เป็นดั่งเกราะป้องกันความชั่วและภัยอันตรายต่างๆ ที่จะมาถึงพวกเรา
                คุณลองคิดดูสิว่า ระหว่างหญิงที่แต่งกายเรียบร้อย กริยามารยาทสงบเสงี่ยม กับหญิงที่แต่งกายด้วยผ้าน้อยชิ้น รัดรูป เป็นการดึงดูดเพศตรงข้าม คุณคิดว่าระหว่างหญิงสองคนนี้ ใครมีคุณค่ามากกว่ากัน และคนไหนจะทำให้เกิดปัญหาสังคมได้มากกว่ากันคุณเคยได้ยินไหมว่า “การแต่งกายส่อความคิดและเจตนา”
                สำหรับศาสนาอิสลาม การแต่งกายของมุสลิมะฮฺได้ถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้วอย่างเหมาะสม เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง รู้ถึงจิตใจของมนุษย์ รู้ถึงอารมณ์ใฝ่ต่ำของมนุษย์ การแต่งการที่มิดชิดนอกจากจะเป็นเกราะป้องกันจิตใจของมุสลิมะฮฺไม่ให้กระทำในสิ่งผิดแล้ว ยังสามารถป้องกันภัยจากผู้ที่ประสงค์ทำร้ายและทำลายเพศหญิง
                หากที่กล่าวมาแล้วนี้เรียกว่า “การกดขี่ทางเพศ” คงไม่ถูกต้อง เพราะการกระทำที่เรียกว่าการกดขี่ทางเพศนั้นต้องไม่เกิดจากความสมัครใจของผู้ถูกกระทำ แต่บรรดามุสลิมะฮฺที่ศรัทธามั่นต่ออัลลอฮฺ เราไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้เป็นการกดขี่ทางเพศหรือเป็นความลำบากยากเย็นอะไร การคลุมฮิญาบไม่ไดทำให้การประกอบกิจวัตรประจำวันของเรายากไปกว่าเดิม ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด หรือรู้สึกว่ามีอุปสรรคใดๆ
                เราอยากให้คุณลองคิดดูว่า หากเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างเพื่อคนที่คุณรัก ทำด้วยความเต็มใจ คุณจะมีความสุขหรือไม่? และหากผู้ที่คุณตั้งใจทำความดีให้นั้น เป็นผู้ที่คุณเคารพและศรัทธาสูงสุดล่ะความสุขของคุณจะมากล้นทวีคูณขึ้นอีกสักที่เท่า
                ดังนั้นโปรดอย่าเพิ่งตัดสินศาสนาอิสลามว่ากดขี่เพศหญิง เพราะทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วอย่างเหมาะสม การศึกษาเพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจะทให้เราเคารพในสิทธิ ยอมรับในความต่างและอยู่ในสังคมร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายนี้อย่างสงบ


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

"มากกว่าผ้าคลุมผม" ที่ดีกว่า!

ถ้าทำได้ก็เป็นการดีมากๆ (แต่ทำไมประเทศทางฝั่งยุโรปจึงต้องต่อต้านการแต่งตัวอย่างนี้ด้วย) ทำไมไม่เห็นจะต่อต้านการรักร่วมเพศบ้างเลย ...ทั้งๆ ที่การรักร่วมเพศ คือ ความอัปยศที่สุดเป็นความชั่วร้ายที่สุดเป็นสิ่งที่โดนปฏิเสธมาโดยตลอด
                ผมเคยถามคนๆ หนึ่ง
                “บังครับ
! มีเพื่อนศาสนิกชอบถามผมประจำเกี่ยวกับฮิญาบ ว่าทำไมสตรีมุสลิมบางคนไม่ใส่ผ้าคลุม (หมายถึงฮิญาบ) แต่บางคนใส่ แถมบางคนใส่ผ้าคลุมแล้วยังปิดหน้าอีก ...ผมจะตอบว่ายังไงครับ?”
                บังคนนั้นยิ้ม แล้วตอบว่า
                “บังเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอก แต่บังจะเปรียบเทียบอย่างนึงนะ
                มุสลิมะฮฺ ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งที่ประกอบไปด้วยสิ่งของอันสวยงามและสิ่งของที่มีราคา และการคลุมฮิญาบของมุสลิมะฮฺคนนั้นก็เปรียบเสมือนว่า บ้านหลังนั้นถูกปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา แต่.. มีแค่หน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดอยู่ (หมายถึงคลุมฮิญาบแล้วไม่ปิดหน้า)
                สมมุติว่ามีโจรที่ชั่วร้ายผ่านมาทางบ้านหลังนี้ แล้วเผอิญเค้าเห็นสิ่งของที่สวยงามและสิ่งของที่มีราคาผ่านทางหน้าต่างเหล่านั้นแน่นอน.. โดยสัญชาตญาณของโจรก็ต้องงัดแงะเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของที่มีค่า เพื่อตอบสนองนัฟซู (อารมณ์ใฝ่ต่ำ) ของตนเอง
                แล้วทีนี้ การที่มุสลิมะฮฺคลุมฮิญาบและปิดหน้า ก็เปรียบเสมือนว่า บ้านหลังนั้นที่ประกอบไปด้วยสิ่งของอันสวยงามและสิ่งของที่มีราคา ถูกปิดประตูและลงอย่างอย่างแน่นหนา โดยไม่มีช่องว่างช่องไหนที่สามารถมองเห็นได้
                แล้วคิดว่ามีใครที่จะสามารถเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้ไหม ถ้าเจ้าของไม่อนุญาต”
                ผมยิ้มแล้วตอบว่า...
                “ด้วยความรู้อันน้อยนิดของผม ผมคิดว่า ไม่ครับ”
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
                ดังที่ได้กล่าวไปในหัวข้อที่แล้วถึงขอบเขตการปกปิดที่แตกต่างกันทั้งสองทรรศนะ บรรดานักปราชญ์มุสลิมซึ่งมีความรู้แตกฉานและน่าเชื่อถือ ได้ตีความจากโองการในอัลกุรฺอาน และหะดีษหลายบทของท่านนบีมุฮัมมัด {ขอความสันติและความจำเริญจากอัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน} ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่คนเราอาจมีความคิดเห็นแตกต่างกัน
                สิ่งนี้เป็นการยืนยันถึงความสะดวกง่ายดายและเหมาะสมในการนำหลักการอิสลามมาปฏิบัติในชีวิตจริง เช่น หากบรรดานักปราชญ์มุสลิมทั้งหมดตีความว่าสตรีมุสลิมต้องปกปิดร่างกายทุกส่วนรวมทั้งใบหน้าและฝ่ามือ (อาจเปิดตาหนึ่งหรือสองข้างได้) ก็อาจก่อให้เกิดความยากลำบากแก่สตรีบางคนที่มีความจำเป็นต้องประกอบอาชีพบางอย่างเพื่อเลี้ยงดูตนเองหรือครอบครัวโดยไม่มีทางเลือ เช่น ทำอาหารขาย เธอคงไม่สะดวกที่จะสวมถุงมือด้วยขณะที่ทำอาหาร และถ้าเธอไม่สวมถุงมือก็ถือเป็นความผิด
                แต่ด้วยพระเมตตาของผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลกนี้ พระองค์ทรงกำหนดมาอย่างกว้างๆ เพื่อให้โอกาสบรรดาบ่าวผู้ศรัทธาเลือกปฏิบัติสิ่งที่เหมาะสมอย่างเต็มความสามารถแต่ไม่ว่าจะยึดทรรศนะใด ก็ต้องศึกษาให้ละเอียด
                ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่คุณอาจพบเห็นมุสลิมะฮฺบางคนคลุฒฮิญาบแบบเปิดหน้า ขณะที่บางคนคลุมแบบปกปิดมิดชิดทั้งร่างกาย เป็นความแตกต่างบนศรัทธาเดียวกัน ซึ่งมิได้ผิดหลักปฏิบัติทางศาสนาเลย
                สำหรับมุสลิมะฮฺที่ไม่คลุมหน้าก็ไม่มีข้อตำหนิประการใดและเช่นเดียวกันก็ไม่ควรตำหนิมุสลิมะฮฺที่คลุมหน้าด้วย การคลุมหน้าไม่ใช่การบ่งบอกความเคร่งครัดกว่า เป็นเพียงการปฏิบัติสิ่งที่เชื่อว่าจำเป็น (วาญิบ) หรือเชื่อว่าทำแล้วดีกว่าเท่านั้น แต่ก็ถือว่าดีกว่าเพียงด้านการแต่งกาย ไม่ได้หมายความว่ามุสลิมะฮฺที่คลุมหน้าจะดีกว่ามุสลิมะฮฺที่ไม่ไดคลุมหน้าในทุกด้าน เราอาจพบเห็นมุสลิมะฮฺบางคนในสังคมที่คลุมฮิญาบแบบเปิดหน้า แต่มีกริยามารยาทตลอดจนความศรัทธาและการปฏิบัติอิบาดะฮฺงดงามยิ่งกว่ามุสลิมะฮฺที่คลุมหน้าบางคนเสียอีก


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

"มากกว่าผ้าคลุมผม" คลุมอย่างไร?

                หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่า “เอ๊ะ..ที่ฉันเห็นอยู่เนี่ย มีทั้งคลุมด้วยผ้าผืนเล็กๆ ปิดไม่มิด, คลุมแล้วเปิดหน้าอก, คลุมแล้วสวมเสื้อแขนสั้น กระโปรงยาวแต่ผ่า, คลุมแล้วสวมกางเกงฟิตๆ หรือคลุมฮิญาบแต่ไม่สวมถุงเท้า.. ในขณะที่อีกบางกลุ่ม สวมสิ่งที่เรียกว่าฮิญาบมากกว่าแค่ผ้าคลุมผม เธอปกปิดมิดชิดทั้งร่างกายเรียบร้อยบางคนปิดใบหน้าและปิดตาด้วยผ้าบางชั้นหนึ่ง หรือบางคนเปิดเพียงดวงตาเท่านั้น”
                นี่เป็นคำถามที่คนที่ไม่ใช่มุสลิมหรือแม้แต่มุสลิมเอง บางคนยังไม่เข้าใจ ฉงนสนเท่ห์นักว่า “ที่ถูกต้องตามคำบัญชาแห่งอัลลอฮฺคืออย่างไร”
                บรรดานักปราชญ์มุสลิมมีทรรศนะต่างกันในเรื่องขอบเขตที่สตรีมุสลิมต้องปกปิด กลุ่มหนึ่ง เห็นว่าสตรีต้องปกปิดร่างกายทุกส่วน แต่สามารถเปิดใบหน้า และฝ่ามือได้ อีกกลุ่มหนึ่ง เห็นว่าสตรีต้องปกปิดร่างกายทุกส่วน รวมทั้งใบหน้าและฝ่ามือ อาจเปิดตาข้างหนึ่งหรือสองข้าง แต่ที่เป็นเอกฉันท์ในบรรดานักปราชญ์มุสลิมคือ
                สตรีที่มีความสวยงามจนอาจก่อให้เกิดฟิตนะฮฺ (ความวุ่นวาย ปั่นป่วน) ในสังคม การปิดหน้าของเธอเป็นสิ่งที่ดีกว่า
[รายละเอียด เพิ่มเติม หน้า 19 “ที่ดีกว่า....”]
อวัยวะที่ต้องปกปิด
@ ต้องปกปิดเส้นผมมิดชิดเรียบร้อย (แม้เส้นผมเพียงเส้นเดียวก็ถือว่าเป็นความผิด หากเจตนา)
@ ใบหน้าและฝ่ามือที่เปิดเผย (ในทรรศนะที่เปิดได้) ต้องไม่ประดับ หรือแต่งแต้มทาสีสัน และการถอนหรือโกนขนบนในหน้าและศีรษะ เช่น คิ้ว เป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม
@ ปกปิดข้อมือ
@ ปกปิดเรือนร่างสรีระ
@ ปิดคลุมหน้าอก
@ ปกปิดเท้า
ฮิญาบและการแต่งกายที่ถูกต้อง
@ ต้องไม่มีเจตนาโอ้อวดความสวยงาม หรือเพื่อให้ใครชื่นชม
@ ต้องไม่โปร่งใสหรือบางจนเห็นรูปร่างภายใน
@ ต้องไม่มีสีสันสะดุดตาเพื่อเรียกร้องให้เพศตรงข้ามสนใจ
@ ต้องไม่รัดรูป ไม่เน้นสัดส่วน
@ ต้องไม่ตกแต่งประดับประดาระยิบระยับ เพราะ นั่นเป็นการเชิญชวนให้ตนเป็นเป้าสายตาผู้คน ซึ่งขัดกับจุดประสงค์ของหลักการอิสลาม
@ ต้องไม่ประพรมกลิ่นหอมยามออกนอกบ้าน
@ ต้องคลุมมาถึงหน้าอกหรือยาวกว่าเพื่อให้มิดชิดเรียบร้อย
@ ต้องไม่คล้ายเสื้อผ้าของบุรุษ เช่น กางเกง (สวมได้เฉพาะภายในแล้วสวมกระโปรงทับอีกชั้น)
@ ต้องไม่คล้ายหรือเลียนแบบการแต่งกายของผู้ปฏิเสธอิสลาม แม้จะปกปิดเรือนร่าง เช่น กระโปรงยาวตามแฟชั่น
“อย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้”
                เครื่องประดับในที่นี้ รวมถึงเสื้อผ้าที่มีการตกแต่งสวยงามดึงดูด และใบหน้าหรือมือที่เปิดเผยโดยมีการแต่งแต้มทาสีหรือใส่เครื่องประดับ สตรีมุสลิมต้องไม่มีเจตนาอวดเครื่องประดับนอกจากที่เปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ เช่น มีลมพัดแรงมากจนทำให้ผ้าแนบเห็นเรือนร่าง
                “และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอเพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ”
                นี่เป็นอีกคำสั่งหนึ่งที่แสดงถึงความรัดกุมและครอบคลุมของหลักการอิสลาม ถึงขั้นห้ามมิให้สตรีผู้ศรัทธากระทืบเท้า เพื่อให้ผู้ชายรู้ถึงเครื่องประดับที่ซ่อนอยู่ภายใน ป้องกันการสร้างจินตนาการที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ อิสลามยังห้ามสตรีใส่น้ำหอมออกนอกบ้าน เพราะ เป็นสิ่งกระตุ้นความรู้สึกซึ่งขัดกับวัตถุประสงค์ของหลักการอิสลามที่ต้องการสร้างความมั่นคงตั้งแต่ภายในจิตใจ ไม่ใช่เพียงภายนอก


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

"มากกว่าผ้าคลุมผม" คลุมเมื่อไหร่?

                ตามบัญญัติของอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดว่า เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือนครั้งแรก ถือเป็นสัญญาณของการบรรลุศาสนภาวะ หมายถึง บุคคลนั้นต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนา ทั้งหลักการใหญ่ เช่น การละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซะกาตและการทำฮัจญ์ รวมถึงหลักการปลีกย่อย เช่น การคลุมฮิญาบและแต่งกายให้มิดชิดเรียบร้อย หากไม่ปฏิบัติตามถือว่ามีความผิด
                การคลุมฮิญาบมิได้ถูกกำหนดแก่วัยที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะอาจมีบางคนที่เห็นเด็กเล็กๆ คลุมฮิญาบนั้นเพื่อเป็นการฝึกให้เด็กปฏิบัติด้วยความเคยชิน ไม่ขัดเขิน แต่ถ้าไม่คลุมก็ไม่ถือเป็นบาป ตรงกันข้ามกับสตรีผู้ศรัทธาที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว หากไม่คลุมฮิญาบและแต่งกายปกปิดให้มิดชิด หรือปกปิดมิดชิดเพียงบางกรณีหรือไม่ปกปิดครบถ้วนตามที่ศาสนากำหนด เหล่านี้ถือว่ามีความผิดสตรีบางคนที่ยังแต่งกายไม่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักการ อาจเพราะความไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ซึ่งจำเป็นต้องศึกษา ส่วนบางคนที่รู้แต่ยังฝืนหลักการก็ต้องปรับปรุงตนเอง
                อัลลอฮฺทรงกำหนดให้สตรีผู้ศรัทธาต้องคลุมฮิญาบและแต่งกายเรียบร้อยก่อนออกนอกบ้าน หรือเมื่ออยู่ร่วมกับเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่มะหฺรอม แม้ในบ้านของตนเอง ก็จำเป็นต้องคลุมฮิญาบให้มิดชิดเรียบร้อย
                สำหรับมะหฺรอม สตรีผู้ศรัทธาต้องปกปิดร่างกายให้เรียบร้อยและเปิดเผยเท่าที่จำเป็น เช่น ใส่เสื้อแขนสั้นหรือถอดฮิญาบเพื่อความสะดวกในการทำงานบ้าน เฉพาะสำหรับสามีเท่านั้นที่อนุญาต (หะลาล) ในการเปิดเผยอวัยวะทุกส่วน
                สำหรับสตรีผู้ศรัทธาด้วยกันนั้น สามารถเปิดเผยอวัยวะบางส่วนได้ เช่น เส้นผม ลำคอ แขน ขา แม้ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตามโดยทรรศนะของนักปราชญ์ส่วนมากบอกว่าขอบเขตที่ห้ามเปิดเผยคือ ตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า (คลุมหัวเข่า) แต่ในส่วนที่เปิดเผยต้องไม่ก่อให้เกิดฟิตนะฮฺ
                สำหรับสตรีที่ไม่ใช่มุสลิม มีทรรศนะของนักปราชญ์มุสลิมบางคนบอกว่าต้องปกปิดเช่นเดียวกับเมื่ออยู่กับคนที่ไม่ใช่มะหฺรอมแต่อีกทรรศนะหนึ่งบอกว่า สามารถเปิดเผยบางส่วนได้ โดยที่ตนเองต้องมั่นใจว่าเป็นบุคคลที่น่าไว้วางใจ ไม่เปิดเผยความลับต่อสาธารณชน
                นอกจากนี้ อนุญาติให้สตรีผู้ศรัทธาเปิดเผยอวัยวะบางส่วนต่อหน้าเด็กที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ แต่สำหรับเด็กที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะแต่รู้เรื่องแล้ว (ประมาณ
5-7 ขวบ) ต้องคลุมฮิญาบต่อหน้าเพราะเด็กอาจนำไปพูดกับผู้ชายอื่นๆ แม้จะไม่ตั้งใจหรือมีโอกาสน้อยก็ตาม อิสลามแนะนำให้สตรีผู้ศรัทธาปกป้องตนเองไว้ก่อนที่จะเกิดปัญหาตามมา
               
*นักปราชญ์มุสลิมบางท่านเห็นว่า เมื่ออยู่ในหมู่มุสลิมะฮฺด้วย การสวมเสื้อผ้าที่บาง รัดรูป หรือเสื้อผ้าที่เปิดเผยเรือนร่างบางส่วน เช่น เสื้อแขนกุด กางเกงฟิตๆ ก็อาจก่อให้เกิดฟิตนะฮฺได้ จึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง*
                มีผู้หญิงหลายคน เลือกที่จะปล่อยตัวกระเซอะกระเซิงเมื่อบ้านกับสามี แต่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสุดฤทธิ์เพื่อออกไป “สวยสาธารณะ” ให้ผู้ชายตามท้องถนนได้ชื่นชม กระพือไฟแห่งตัณหาราคะของพวกเขา และติดตามมาด้วยปัญหาสังคมนานับประการ
                แต่อิสลามสอนให้สตรีอยู่บ้านกับสามี สร้างชีวิตชีวาให้ครอบครัว การแต่งกายสวยงามเพื่อกันและกันเปรียบเสมือนการสร้างสรรค์ในบ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเอาใจใส่ ทำให้เกิดความพึงพอใจและเพียงพอแล้วแก่กัน สามีเห็นภรยาสวยที่สุดตอนอยู่ในบ้านเมื่อออกนอกบ้านก็ไม่มองคนอื่น แต่ถ้าไม่เห็นภรรยาสวยในบ้านก็อาจต้องไปมองหาข้างนอก ก่อให้เกิดปัญหา มีกิ๊ก มีชู้ ปัญหาครอบครัว และปัญหาอื่นๆ ตามมา
                เสมือนผลส้มที่แม่ค้าปอกเปลือกโชว์สีสดใสยั่วให้ลูกค้าเข้าร้าน บางร้านแกะกลีบให้ชิมฟรีเสียด้วยซ้ำ ผลส้มที่ถูกปอกเปลือกโชว์นี้เรียกความสนใจจากลูกค้าได้ก็จริง แต่สุดท้าย...ส้มที่ถูกเลือก็เป็นผลที่ยังไม่ได้ปอกเปลือกเสมอ
ข้อเท็จจริง
                - จริงหรือ? เมื่อบางสิ่งที่ถูกยอมรับจากคนส่วนใหญ่
                                ....แล้วมันคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ
                - จริงหรือ? เมื่อคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับบางสิ่ง
                                ....แล้วมันต้องเป็นสิ่งที่ผิดเสมอเช่นกัน
                ขอให้คุณลองอ่านสถิติข้างล่าง
                แล้วย้อนกลับมาถามตัวเองดูว่า
                                ....มันจริงหรือ?
# อวัยวะที่ผู้ชายอยากให้แฟนทำศัลยกรรมมากที่สุด คือ ใบหน้า
# เยาวชนไทย 73.11% มองสื่อลามกที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นเรื่องธรรมดา
# คนไทย 72.15% คิดว่าสังคมไทยควรเปิดกว้างเรื่องเพศศึกษา
# วัยรุ่น 70.26% คิดว่าการแสดงความรักในที่สาธารณะเป็นสิทธิส่วนบุคคล
# วัยรุ่นถึง 38.98% เห็นว่าการเสียตัวให้คนรักในวันวาเลนไทน์เป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย
# ในวันวาเลนไทน์ ร้านสะดวกซื้อ 67.24% มีผลการจำหน่ายถุงยางอนามัยดีขึ้น ร้านขายยา 55.34% มีผลการจำหน่ายยาคุมกำเนิดหรือยาป้องกันการตั้งครรภ์ดีขึ้น และ 53.15% ของธุรกิจโรงแรมมีผู้เข้าใช้บริการมากขึ้น
[ที่มา : สวนดุสิตโพล]
# คนส่วนใหญ่ (ที่ไม่ใช่มุสลิม) เห็นว่าการคลุมฮิญาบเป็นการกดขี่ทางเพศ
# คนส่วนน้อย (มุสลิม) เห็นว่าการคลุมฮิญาบเป็นการปกป้องตัวเอง
                เมื่อคุณดูสถิติข้างต้นแล้ว คุณคิดอย่างไรกับผลดังกล่าว?
                คุณยอมรับและเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติใช่ไหม หรือคุณคิดว่าน่าสลดใจจริงๆ ที่นับวันสังคมเริ่มชินชากับสิ่งที่ไร้ศีลธรรมนี้ ในขณะที่ค่านิยมของคนไทยเปลี่ยนไป
                                ในขณะที่จิตใจและศีลธรรมของคนในสังคมเริ่มเสื่อมลง
                เรายังคงแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการ ..ตั้งตู้ขายถุงยางอนามัย
                                                                ...ออก พรบ. เด็ก
2546
                                                                ...ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ออกจากบ้านหลังสี่ทุ่มถึงตีสี่
                                                                ...อนุญาตให้มีโสเภณีถูกกฎหมาย
                นี่หรือคือ วิธีการที่ทำให้สังคมของเรามีศีลธรรมมากขึ้น นี่หรือคือ ประเทศที่กำลังจะพัฒนาเยาวชนให้มีจิตใจที่ดีงามขึ้น หากยังคงแก้ไขปัญหากันที่ปลายเหตุ สังคมก็คงยังไม่ได้รับการเยียวยาที่ถูกต้อง เพราะ วิธีการที่ดีที่สุดคือการป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุนั่นเอง


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

"มากกว่าผ้าคลุมผม" ทำไมต้องคลุม?

อย่าเพิ่งงงกับข้อความจากคัมภีร์อัลกุรฺอานที่เรายกมาซะยืดยาว เพราะนี่คือกุญแจดอกสำคัญที่จะนำคุณสู่ความเข้าใจในหลักการบางส่วนของอิสลาม ซึ่งเราจะใช้ประกอบการอธิบายในหัวข้อต่อๆ ไป
                คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่า “ทำไมสตรีมุสลิมต้องคลุมฮิญาบและปกปิดมิดชิดนัก” เช่นเดียวกับที่เราก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมคนบางกลุ่มนิยมสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น ทั้งสายเดี่ยว เกาะอก กระโปรง-กางเกงสั้น กางเกงฟิตๆ และทำไมผู้ชายบางคนจึงแต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดรูป หรือแต่งตัวเลียนแบบผู้หญิง การแต่งกายเช่นนั้นให้ประโยชน์อันใดหรือ??
                คำสั่งของอัลลอฮฺ (พระเจ้า) ล้วนแฝงไว้ด้วยแนวทางแห่งการป้องกัน อิสลามให้เกียรติและยกย่องสตรีอย่างที่สุด เป็นระบอบชีวิตที่เล็งเห็นคุณค่าของสตรีอย่างมาก.. คุณอาจจะเริ่มเกาหัวสงสัยแล้ว งั้นเรามาค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลย
                ข้อความข้างต้นคือคำดำรัสจากอัลลอฮฺ ที่บัญญัติความสำรวมในการวางตัวของสตรีผู้ศรัทธา รวมถึงเรื่องการคลุมฮิญาบแน่นอนว่าทุกส่วนในชีวิตมนุษย์ต้องมีข้อชี้แนะจากอัลกุรฺอานหรือแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด
[ขอความสันติและความจำเริญจากอัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน]
                เรากำลังจะบอกว่า “เราคลุมฮิญาบเพราะเป็นคำสั่งจากอัลลอฮฺ”.. เมื่ออัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงสร้างคุณขึ้นมาด้วยความเมตตากรุณา ผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือชีวิตของคุณ สั่งให้ปฏิบัติสิ่งใดคุณย่อมรักและศรัทธาในคำสั่งนั้นโดยไม่มีข้อแม้
                หากลองเปรียบเทียบกับคนที่มีความรัก “ชี้นกเป็นนกชี้ไม้ก็เป็นไม้” ฝ่ายหนึ่งพูดอะไร บอกอะไร หรือสอนอะไร คุณก็ทำตามอย่างเต็มใจ นั่นเพราะคุณกลัวอีกฝ่ายไม่รักหรือกลัวความรักจะหลุดลอยไปใช่ไหม มุสลิมเราก็คล้ายๆกัน เพียงแต่ความรักของเราเป็นรักที่บริสุทธิ์ ด้วยความรักนี้และด้วยความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เราจึงเชื่อฟังคำบัญชาของพระองค์ แม้สิ่งนั้นจะทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นก็ตาม
                ในสมัยก่อนที่ศาสนาอิสลามจะถูกเผยแผ่ (ญาฮิลียะฮฺ) มีการคลุมศีรษะแบบแฟชั่นปัจจุบัน คือ ใช้ผ้าปิดศีรษะแต่เปิดเผยคอและหน้าอก ซึ่งเป็นลักษณะที่อิสลามต้องปฏิวัติ เพราะการแต่งกายเช่นนั้นสร้างฟิตนะฮฺ (ความวุ่นวายปั่นป่วน) ในสังคม... อิสลามมาเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขมั่นคง จึงบัญญัติรูปแบบของฮิญาบที่ถูกต้องและฮิญาบนี้ก็เสมือนเป็นเอกลักษณ์ในการแต่งกายของสตรีมุสลิม เพราะสตรีที่ไม่คลุมฮิญาบนั้นยากที่จะแยกออกจากคนที่ไม่ใช่มุสลิม การคลุมฮิญาบจึงไม่ใช่ธรรมเนียบหรือประเพณีของชาวอาหรับหรือบางกลุ่มชนอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ฮิญาบของชายมุสลิม
                หากคุณลองพิจารณาถึงสรีระของชายและหญิง ด้วยสติปัญญาที่ไม่มีอคติ ย่อมเห็นชัดว่าสรีระของผู้หญิงดึงดูดความสนใจเพศตรงข้ามมากกว่าผู้ชาย ดังนั้น เมื่อไม่เท่าเทียมกันในการดึงดูด มาตรการในการปกปิดก็ย่อมแตกต่างกันด้วย
                อัลลอฮฺพระผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง ทรงมีคำสั่งอันรัดกุมถึงเรื่องขอบเขตการแต่งกาย การวางตัวสำรวมตน ตลอดจนมารยาทในการใช้สายตาของผู้ชายว่า
                “และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมิน (ผู้ศรัทธาชาย) ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ”
[อัลกุรฺอาน บทที่ 24 (อันนูร) โองการที่ 30]                นี่เป็นคำสั่งที่ใช้ให้บรรดาชายผู้ศรัทธา ลดสายตาลงต่ำคือระงับการมองหญิงแปลกหน้าที่สามารถแต่งงานกันได้ และรักษาทวาร (ซึ่งหมายถึงอวัยวะเพศด้วย) ให้พ้นจากการทำซินาและเปิดเผยสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย ซึ่งขอบเขตอันพึงสงวนของเขาเหล่านั้น คือ ตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า (คลุมหัวเข่า) โดยไม่อนุญาตให้เจตนาเปิดเผยส่วนดังกล่าวต่อหน้าใคร นอกจากภรรยาของตัวเอง ดังคำกล่าวของท่านนบีมุฮัมมัด [ขอความสันติและความจำเริญจากอัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน] ที่กล่าวเตือนสาวกท่านหนึ่งว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าขาอ่อนเป็นส่วนที่ต้องปกปิด”
                และท่านยังได้กล่าวเกี่ยวกับการทำซินาว่า “มนุษย์สามารถทำซินาได้ด้วยอวัยวะที่รับความรู้สึกทั้งปวง การมองผู้หญิงอื่นก็ถือเป็นการทำซินาทางสายตา การพูดเกี้ยวพาราสีหรือพูดจาลามกก็เป็นการทำซินาของลิ้น การฟังเสียงผู้หญิงอย่างใจจดใจจ่อก็เป็นการทำซินาของหู และการสัมผัสร่างการของนาง หรือการเดินไปหานางเพื่อวัตถุประสงค์ต้องห้ามก็ถือเป็นการทำซินาของมือและเท้าหลังจากการเริ่มต้นนี้แล้ว อวัยวะเพศก็จะทำให้การทำซินานั้นเป็นผลสำเร็จหรือไม่สำเร็จ”
                ขณะที่ฆาตกรคดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่องยอมรับว่า อวัยวะส่วนหนึ่งของผู้หญิงที่เป็นแรงจูงใจให้เขาก่อคดีคือ เส้นผม โดยเฉพาะยามที่มันพลิ้วไหวไปตามแรงลม เช่นเดียวกับเท้า ที่สตรีมุสลิมบางคนไม่เข้าใจว่ามันจะก่อให้เกิดความรู้สึกใดที่เป็นอันตรายได้จนถึงขนาดต้องปิดมันให้มิดชิด แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งยอมรับว่า เขามักเกิดอารมณ์ทางเพศเพื่อได้เห็นนิ้วเท้าของผู้หญิง
                เพราะมาตรฐานของมนุษย์นั้นแตกต่างกันเกินไป ต่างคนก็ต่างเห็นและต่างคิดตามทัศนคติของตนเอง ไม่อาจรู้เห็นในสิ่งที่คนอื่นคิดได้ ฉะนั้นเมื่อต้องการปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยอย่างแท้จริงเราจึงจำเป็นต้องยึดเอามาตรฐานของผู้ที่รู้เห็นในความคิดของทุกคนมาเป็นหลัก นั่นคือมาตรฐานของผู้ทรงสร้างมนุษย์... แน่นอน
!! มาตรฐานของอัลลอฮฺ มาตรฐานที่อยู่เหนือกาลเวลา จึงไม่น่าแปลกที่คำบัญญัติกว่า 1,400 ปียังทันสมัยจนถึงปัจจุบัน
                อัลลอฮฺทรงบัญชาใช้ให้ท่านนบีมุฮัมมัด
[ขอความสันติและความจำเริญจากอัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน] บอกแก่สตรีผู้ศรัทธาทั้งหลาย “นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน” [อ้างอิงจาก (2) หน้า 6]
                หากคุณลองสังเกตผู้หญิงที่แต่งกายมิดชิดด้วยชุดยาวตัวหลวม คลุมฮิญาบยาวปกปิดร่างกาย จะพบว่าพวกเธอไม่ได้ดึงดูดความสนใจเอาซะเลย หนำซ้ำยังถูกมองว่าแต่งตัวไม่ทันสมัยอีก นี่คือสิ่งที่พวกเธอยอมแลกกับการรักษาความบริสุทธิ์สะอาด และป้องกันพฤติกรรมที่อาจก่อความเดือดร้อนแก่เธอ อาทิ การเข้ามาทำความรู้จัก พูดคุย หรือเกี้ยวพาราสี อีกทั้งเพื่อไม่ให้ต่างเพศจินตนาการถึงเธอ เมื่อมองเห็นอวัยวะบางส่วนหรือสรีระของพวกเธอ
                “และให้พวกเธอลดสายตาลงต่ำและรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ”
[อ้างอิงจาก (3)(4) หน้า 6] คุณอาจกำลังสงสัยว่าทั้งสองคำสั่งนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
                คุณยอมรับไหมว่า “สายตาเป็นหน้าต่างเปิดเข้าสู่ทั้งความดีและความชั่ว” หากลองพิจารณายามที่คุณใช้สายตาอ่านหนังสือเตรียมสอบ คุณจะพบว่าดวงตาช่างมีประโยชน์เสียนี่กระไร ทำให้อ่านหนังสือได้
                แต่ถ้าคุณใช้สายตาไปในทิศทางตรงกันข้าม เช่น การที่คุณมองชายหนุ่มหน้าตาดี๊ดี รูปร่างสูงโปร่งดูมาดแมนสุดๆ ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แต่งตัวภูมิฐาน ท่าทางสุภาพ นั่นแน่
!! มันสะดุดสายตาคุณจนต้องมองตาค้างใช่ไหมล่ะ แล้วคุณคิดอะไรต่อ อยากรู้จัก อยากเดินไปแกล้งทำผ้าเช็ดหน้าหล่น หรือเดินชนแล้วล้มลงให้ชายหนุ่มประคองคุณไว้ หรือคุณกล้าพอที่จะเดินเข้าไปขอเบอร์โทร
                ทีนี้ ลองมามองกลับกัน หากคุณเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยรูปร่างสะโอดสะอง แต่งตัวอย่างเปิดเผยเย้ายวนให้ชวนมอง หรืออาจจะแต่งตัวธรรมดาแต่แต่งแต้มทาสีให้สะดุดตาจนชวนพิศหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เหล่มองจนเหลียวหลัง ถ้าหากมีคนมาใช้สายตามองคุณเช่นเดียวกับที่คุณมองชายหนุ่มคนนั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร?? แล้วถ้าชายคนที่กำลังมองคุณนั้น เขาเป็นฆาตกรโรคจิตชอบทำร้ายคนอื่น หรือชอบอนาจารล่ะ คุณจะทำอย่างไร?? พวกเขาคงไม่ทำเพียงแค่ใช้สายตาเกี้ยวพาราสีหรือขอเบอร์โทรศัพท์คุณหรอกคุณคิดอย่างนั้นไหม??
                อิสลามสอนหญิงผู้ศรัทธา ในเรื่องการลดสายตาและการรักษาอวัยวะเพศ เพราะทั้งสองคำสั่งเป็นรั้วปกป้องพวกเธอจากสิ่งเลวร้ายที่เริ่มต้นเกิดจากการมอง หญิงผู้ศรัทธาเลือกที่จะเปิดเผยและตกแต่งความงามขอบตนแต่เฉพาะกับผู้เป็นสามี และเลือกที่จะปิดคลุมความงามนี้จากสายตาของชายอื่น เราเชื่อว่านี่ต่างหากคือคุณค่าที่แท้จริงของผู้หญิง ฮิญาบเป็นเสมือนป้อมปราการที่คอยพิทักษ์และปกป้องพวกเธอให้พ้นจากสิ่งโสมมภายใต้จิตใจของมนุษย์ที่มิอาจหยั่งรู้ได้
                เราขอให้คุณทำความเข้าใจกับประโยค “ให้พวกเธอลดสายตาลงต่ำ” ซึ่งไม่ได้หมายถึง “ต้องก้มหน้ามองพื้น และไม่สนทนากับใครเลย” อิสลามมิได้ปิดกั้นขนาดนั้น หากแต่อนุญาตอยู่ในขอบเขตความจำเป็น เช่น การซื้อขายของ การรักษาพยาบาล ส่วนการใช้สายตาสอดส่ายมองพร่ำเพรื่ออย่างไร้จุดหมาย เพียงหวังเชยชมกลิ่นไอสรรพสิ่งบางอย่างอันไร้สาระบนโลกนี้ นั่นไม่ใช่วิถีแห่งอิสลาม
                อิสลามคือแนวทางที่รัดกุม ป้องกันที่สาเหตุก่อนที่จะวิ่งแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา ดังนั้น มุสลิมที่ปฏิบัติตามหลักการของอิสลามนอกจากหวังในความพอพระทัยของอัลลอฮฺแล้ว ยังเป็นการปกป้องตนเองให้ห่างไกลจากความหายนะ ดังเรื่องของการคลุมฮิญาบที่กล่าวมานี้ นอกจากเพื่อความปลอดภัยและรักษาเกียรติของตนเองแล้ว ยังเป็นการสร้างความสงบสุขต่อครอบครัวและสังคมอีกด้วย


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report