ต่อจากตอนที่แล้ว
ทั้งนี้หน้าเฟซบุ๊คดังกล่าวมีสมาชิกติดตามถึงแสนคนและมีภาพเข้าประกวดมากถึง 5หน้า แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มมุสลิมที่ทนไม่ได้กับการกระทำอันดูหมิ่นนบี กลุ่มมุสลิมกลุ่มนี้ จึงได้สร้างเฟซบุ๊คโดยใช้ชื่อว่า "ต่อต้านวันที่ใครๆ ก็วาดภาพมูฮัมหมัดได้" ซึ่งได้รับความนิยมมากมายเช่นกัน มีสมาชิกติดตามมากถึงแสนกว่าคน จากกระแสต่อต้านเฟซบุ๊คจากประชาชนปากีสถานทางรัฐบาลปากีสถานจึงตัดสินใจบล็อกเว็บเฟซบุ๊คปิดการเชื่อมต่อกับเฟซบุ๊ค ส่งผลให้คนปากีสถานไม่สามารถเข้าเฟซบุ๊คได้
ทางด้านผู้บริหารเฟซบุ๊คก็รู้สึกไม่สบายใจต่อการตัดสินใจตัดการเชื่อมต่อเฟซบุ๊คในปากีสถาน เพราะว่า ปากีสถานมีประชากร 170 ล้านคน ชาวปากีสถานเล่นเฟซบุ๊คมากถึง 2.5 ล้านคน ไม่ใช่เฟซบุ๊คเท่านั้นที่โดนปิดในปากีสถาน ในส่วนของเว็บยูทูบก็เช่นกันได้ถูกปิดไปด้วยเพราะมีคลิปวิดีโอเป็นจำนวนมากที่มีเนื้อหาดูหมิ่นอิสลามและท่านนบี
โซเชียลเน็ตดเวิร์กมีทั้งคุณและโทษ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้นำไปใช้ว่าใช้ถูกวิธีหรือไม่ ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้วนั้น โซเชียลเน็ตเวิร์กก็เหมือนกับกระดานสำหรับปิดประกาศต่างๆ ที่ไม่ได้ใส่กุญแจล็อกใดๆ ใครๆ ก็สามารถมาปิดประกาศอะไรก็ได้ตามใจชอบ การที่มีผู้มาปิดประกาศที่มีเนื้อหาโจมตีหรือดูหมิ่นศาสนา สถานบันต่างๆ ตลอดจนเนื้อหาที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศนั้นถือเป็นความรับผิดชอบและสามัญสำนึกของเจ้าของกระดานดังกล่าว ที่จะต้องคอยตรวจสอบกระดานของตัวเองและเมื่อเห็นข้อความที่ไม่ดีหรือทำให้คนอื่นเสียหายก็ควรถอดข้อความนั้นๆออก ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กเหล่านี้มักไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องการตรวจสอบข้อความที่ดูหมิ่นหรือละเมิดผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น เว็บยูทูบนั้นมีการตรวจสอบวิดีโอที่คนโพสต์มา หากเขาพบว่ามีใครโพสต์วิดีโอที่เกี่ยวกับเพลงหรือภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ยูทูบจะทำการถอดวิดีโอดังกล่าวทิ้งเลยทันที
แต่เมื่อเขาเห็นวีดีที่มีเนื้อหาหมิ่น ดูถูกเหยียดหยามทางศาสนาเขากลับทำเมินเฉยไม่ถอดออก เช่น เดียวกับกับเฟซบุ๊คที่ปล่อยให้มีคนโพสต์ข้อความดูถูกศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลามล้านแล้วมีผู้ดูถูกทั้งนั้นในกลุ่มสังคมออนไลน์ จึงเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของเจ้าของเว็บต่างๆ ที่จะต้องตรวจสอบเนื้อหาที่ได้ปล่อยให้มีการเขียนได้อย่างอิสระ
(อ่านต่อตอนต่อไป)
muslim hot report : รายงาน
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จากหนังสือพิมพ์รายเดือน "กัมปงไทย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น