สิ่งคลาคเคลื่อนในเดือนเราะมะฎอน
โดย อ.มุรีด ทิมะเสน
ครั้นพอถึงเดือนเราะมะฎอน
มุสลิมต่างพากันเข้าสู่แสวงหาความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮฺกันอย่างทั่วหน้า 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งใดที่ปฏิบัติแล้วได้ผลบุญมากๆ
ก็ได้รับการตอบรับอย่างเป็นพิเศษ จากนั้นก็จะปฏิบัติในสิ่งนั้นอย่างทันทีทันใดเนื่องจากหวังผลบุญที่มากมายดังกล่าวนั่นเอง   
กรณีที่มีหลักฐานว่าด้วยผลบุญจำนวนมากหากมุสลิมลงมือปฏิบัตินั้นก็คงไม่มีปัญหาแต่ประการใดทั้งสิ้น แต่ปัญหาอยู่ตรงที่หากสมมติว่า หลักฐานที่มุสลิมคนหนึ่งได้รับมากลับกลายเป็นหลักฐานที่เฎาะอีฟ (หลักฐานอ่อน) หรือหะดีษเมาฎูอฺ (หลักฐานปลอม) นั่นแหละคือปัญหาที่ใหญ่หลวงนัก เพราะผลพวงดังกล่าวจะอธิบายให้เข้าเกิดความใจที่ถูกต้องกลับต้องใช้เวลาอธิบายค่อนข้างนาน ดั่งตัวอย่างที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นหลักฐานที่มุสลิมส่วนใหญ่นึกว่าเป็นหลักฐานที่เศาะหี้หฺ (ถูกต้อง) แต่นัยยะแห่งความจริงกลับกลายเป็นหะดีษเฎาะอีฟ หรือหะดีษเมาฎูอฺ
หลักฐานที่ 1 
“ أول شهر رمضان رحمة وأوسطه مغفرة
وآخره عتق من النار   ”
ความว่า
“ช่วงแรกของเดือนเราะมะฎอน คือความเมตตา, ช่วงที่สองของเดือนเราะมะฎอน คือการอภัยโทษ
และช่วงท้ายของเดือนเราะมะฎอน คือการปลดปล่อยออกจากไฟนรก” 
สถานะของหะดีษข้างต้นถือว่า เฎาะอีฟ ญิดดัน
หมายถึงเป็นหลักฐานที่อ่อนอย่างมาก (โปรดอ่านหนังสือ “
ضعيف الجامع  ” โดยเชคมุหัมมัด นาศิรุดดีน
อัลบานีย์ เล่ม 1 หน้า 2135) 
            ดังนั้นหะดีษข้างต้นจึงไม่สามารถนำมากล่าวสนับสนุนให้พี่น้องมุสลิมเกิดกำลังใจในการถือศีลอดว่าด้วยผลบุญที่ได้รับในแต่ละช่วงของเดือนเราะมะฎอนได้นั่นเอง  
            หลักฐานที่ 2 
            “  من أفطر يوما من رمضان في غير رخصة رخصها الله له لم يقض
عنه صيام الدهر كله و إن صامه  ” 
ความว่า  “บุคคลใดที่ละศีลอดเพียงหนึ่งวันในเดือนเราะมะฎอนโดยไม่มีข้อผ่อนผัน
ซึ่งเป็นข้อผ่อนผันที่พระองค์อัลลอฮฺทรงผ่อนผันให้
เช่นนี้การถือศีลอดของเขาตลอดทั้งปีก็ไม่สามารถชดใช้การถือศีลอด
(ที่ขาดไปหนึ่งวันในเดือนเราะมะฎอน) นั้นได้เลย แม้ว่าเขาจะถือศีลอดเช่นนั้นจริงๆ
ก็ตาม”  สถานะของหะดีษข้างต้นถือว่า เฎาะอีฟ
หมายถึงเป็นหลักฐานอ่อน   (โปรดอ่านหนังสือ “ ضعيف الجامع  ” โดยเชคมุหัมมัด นาศิรุดดีน
อัลบานีย์ เล่ม 4 หน้า 5462)  
อนึ่ง การที่มุสลิมมีความสามารถถือศีลอดได้แต่เขาไม่ยอมถือศีลอด
ด้วยเหตุผลใดก็ตาม อีกทั้งไม่ข้อยกเว้นจากศาสนาให้เขาละศีลอด เช่นนี้เขามีความผิดอย่างแน่นอน
ในวันกิยามะฮฺ ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺทรงลงโทษเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่มิได้หมายรวมว่าเขาจะมีโทษแม้กระทั่งว่าหากเขาถือศีลอดตลอดทั้งปี
เพื่อเป็นการทดแทนการถือศีลอดเพียงวันเดียวในเดือนเราะมะฎอนก็ไม่สามารถกระทำได้  ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างชัดเจน  
หลักฐานที่ 3  
“ الصائم في عبادة و إن كان نائما على فراشه  ” 
ความว่า “ผู้ถือศีลอดอยู่ในการอิบาดะฮฺ
(ตลอด) แม้ว่าเขาจะนอนอยู่บนเตียงนอนของเขาก็ตาม”
สถานะของหะดีษข้างต้นถือว่า เฏาะอีฟ (โปรดอ่านหนังสือ “
ضعيف الجامع  ” โดยเชคมุหัมมัด นาศิรุดดีน
อัลบานีย์  หะดีษเลขที่ 3530 หน้า
516)  
ตั้งแต่สมัยเด็กๆ
จนถึงปัจจุบันนี้ผู้เขียนยังคงได้ยินผู้คนทั้งหลายมักพูดเสมอว่า
การนอนของผู้ถือศีลอดเป็นอิบาดะฮฺ ซึ่งคำกล่าวนั้นเป็นคำกล่าวที่เข้าใจผิด
เพราะไม่พบหลักฐานที่เศาะหี้หฺมาระบุไว้เช่นนั้น 
หลักฐานที่ 4  
“ أفضل الصدقة في رمضان   ”
 ความว่า “การเศาะดะเกาะฮฺในเดือนเราะมะฎอน
ถือว่าประเสริฐที่สุด” สถานะของหะดีษข้างต้นถือว่า
เฎาะอีฟ หมายถึงเป็นหลักฐานอ่อน  
(โปรดอ่านหนังสือ “ ضعيف الجامع  ” โดยเชคมุหัมมัด นาศิรุดดีน
อัลบานีย์ เล่ม 1 หน้า 1019)   
โดยพื้นฐานที่มุสลิมได้รับการศึกษามาในอดีตก็เข้าใจมาโดยตลอดว่า
การทำบุญในเดือนเราะมะฎอนจะได้ผลบุญมากกว่าเดือนอื่น
โดยอาจจะอ่านหลักฐานหะดีษข้างต้นที่ระบุไว้เช่นนั้นจริงๆ แต่ทว่า
หะดีษข้างต้นเป็นหลักฐานเฎาะอีฟ ซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นตัวบทได้นั่นเอง
ฉะนั้นก็ให้มุสลิมตั้งใจบริจาค,เศาะดะเกาะฮฺ
หรือทำบุญในเดือนเราะมะฎอนด้วยใจที่บริสุทธิ์เท่านั้น
ส่วนจะได้ผลบุญเท่าไรนั้นคงเป็นสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  
หลักฐานที่ 5  
“ لكل شيء زكاة وزكاة الجسد الصوم
  ” 
ความว่า “ทุกๆ
สิ่งมีการจ่ายซะกาตทั้งสิ้น ส่วนการจ่ายซะกาตทางร่างกายนั้น คือการถือศีลอด” บันทึกโดยอิบนุ อบีย์ ชัยบะฮฺ สถานะของหะดีษถือว่า เฎาะอีฟ  (โปรดอ่านหนังสือ  “ سلسلة الأحاديث الضعيفة والموضوعة  ” โดยเชคมุหัมมัด นาศิรุดดีน อัลบานีย์  เล่ม 3 หะดีษเลขที่ 1329 หน้า 497)    
 หะดีษข้างต้นก็เช่นเดียวกัน 
หากอ่านอย่างผิวเผินจะพบว่าหะดีษข้างต้นไม่เห็นจะมีอะไรที่ขัดแย้งกับหลักการของศาสนาเลยแม้แต่น้อย
แต่กระนั้นก็ตาม มุสลิมก็ไม่สามารถที่จะนำหลักฐานที่ไม่เศาะหี้หฺ
หรือไม่ถูกต้องมาปฏิบัติ หรือนำมาอ้างอิง ทั้งนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามบรรดาสะลัฟศอลิหฺในอดีตที่พวกเขาเพียงพยายามปฏิบัติหลักการให้สอดคล้องกับแนวทางของอิสลามมากที่สุด
หรือแม่นยำ และถูกต้องตามสุนนะฮฺมากที่สุดนั่นเอง (วัสสลาม) 
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ www.mureed.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น