วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กรณีชาวพุทธบางท่านบิดเบือนอิสลาม

เรียบเรียงโดย Muslim Hot Report.

บทความที่บิดเบือนนี้ มาจากหนังสือ "เหตุเกิดหลังพุทธปรินิพพาน" พิมพ์ครั้งที่ 1 ,พ.ค.2548
ผู้เขียน : นวองคุลี
ที่อยู่ : วัดสุวรรณประสิทธิ์ คลองกุ่ม บึงกุ่ม กรุงเทพฯ โทร.027345732
พิมพ์ที่ : ธรรมสภา โรงพิมพ์พระพุทธศาสนา กรุงเทพฯ

กำเนิดอิสลาม
เรื่องโกหก
เมื่อศตวรรษที่ 11 เริ่มย่างกรายเข้ามา โลกของตะวันออกกลางได้ก่อกำเนิดบุรุษคนสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ความเชื่อ และวิถีชีวิต ของชาวตะวันออกกลางไป ตลอดกาลนับพัน ๆ ปี ท่านผู้นี้มีนามว่า โมฮัมหมัด ได้ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองเมกกะ ชาวซาอุดิอารเบีย ในราวปี พ.ศ. 1113 กำพร้าบิดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์และกำพร้ามารดา เมื่ออายุ ขวบ จึงอาศัยอยู่กับปู่และลุง ต่อมาอีก ปีปู่ก็ถึงแก่มรณกรรม จึงเหลือแต่ลุงช่วงเลี้ยงดูจนเติบใหญ่โดยไม่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนแต่อย่างใด

เรื่องจริง
ท่านนบีมูฮัมหมัด (ศ.ล.) ถือกำเนิดขึ้น เมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันที่12 เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล  ปีช้าง...ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน  ค.ศ.571 หรือ พ.ศ.1114  ที่เมืองมักกะห์ (ประเทศซาอุดิอารเบีย ในปัจจุบัน )
บิดาของท่านคือ  อับดุลลอฮฺ  เป็นบุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ /บุตรของฮาชิม /บุตรของอับดุลมะนาฟ /บุตรของกุศ็อย/บุตรของกิลาบ มารดาของท่านคือ  ท่านหญิง อะมีนะฮฺบุตรของวะฮับ  /บุตรของอับดุลมะนาฟ /บุตรของชุรอฮฺ  / บุตรของกิลาบ   นั่นคือ  บิดาและมารดาของท่านศาสดามุฮัมมัด  เป็นต้นตระกูลเดียวกันหรือเผ่าเดียวกัน
บิดาของท่านเสียชีวิตในขณะท่านนบี  อยู่ในครรภ์มารดาและต่อมามารดาของท่านก็ เสียชีวิตอีกในขณะที่ท่านมีอายุได้ ปี  ท่านศาสดาจึงได้ไปอยู่ภายใต้การอุปการะ ของปู่ท่านชื่อ  อับดุลมุฏฏอลิบแต่ปู่ของท่านก็ถึงแก่กรรมเมื่อท่านนบีอายุได้ ขวบ  ท่านจึงไปอยู่ในการอุปการะของลุงของท่าน คือ อบูฏอลิบ
เรื่องโกหก
เมื่อเป็นหนุ่มอายุได้ 25 ปี ก็ไปรับจ้างค้าขายในเมือง คุมสินค้าเดินทางไปมาค้าขายอยู่หลายประเทศ ทำให้มีโอกาสได้รู้ได้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ ในหลาย ๆ ชาติบ้านเมืองสะสมเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่มีบุญพาวาสนาส่ง นำให้พบกับโอกาสที่จะรุ่งโรจน์ในชีวิตนั่นก็คือ ได้มีโอกาสแต่งงานกับนายจ้างของตัวเอง ซึ่งมีฐานะร่ำรวย แต่ตกพุ่มหม้ายมีชื่อว่า คะดิยะ เธออายุแก่กว่าโมฮัมหมัด 18 ปี

เรื่องจริง

ท่านนบี เคยทำงานโดยมีอาชีพรับจ้างเลี้ยงสัตว์  ...เคยติดตามลุงไปค้าขายยังประเทศซีเรีย ครั้ง ครั้งแรกไปเมื่ออายุ 12 ปี  ครั้งที่ ไปเมื่ออายุ 25 ปี ในขณะที่ท่านมีอายุ 25 ปีนั้นท่านไปทำงานอยู่กับท่านหญิง ค่อดีญะฮฺ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการค้าในนครมักกะฮฺด้วย...การสมรส  กับท่านหญิงนั้น  ท่านหญิง ค่อดีญะฮฺ  มีอายุมากกว่า ท่านนบี 15 ปี  ไม่ใช่ 18 ปี  การแต่งงานนั้นเป็นความประสงค์ของท่านหญิง ค่อดีญะฮฺ  ไม่ใช่ ท่านนบี...และไม่ใช่ว่าท่านนบีจะแต่งงานแบบสบาย ๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย   แต่ท่านนบีแต่งงานกับท่านหญิง  ด้วยการมอบสินสอดให้ท่านหญิง เป็นอูฐวัยเยาว์  จำนวน 20 ตัวด้วยกัน


เรื่องโกหก
ในระหว่างที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายนั้น วันหนึ่งได้ไปหาความสงบใจภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ขณะกำลังอยู่ในถ้ำได้เกิดนิมิตไปว่า พระเจ้า(พระอัลเลาะห์) ได้มาหาและมีรับสั่งให้ท่านรับใช้พระองค์ด้วยการตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่ และทำหน้าที่เป็นศาสดาประกาศศาสนาไปด้วย (ต่อมาจึงได้มีคนเรียกชื่อท่าน เพิ่มขึ้นว่า นาบีโมฮัมหมัด นาบี แปลว่า พระศาสดา ) เมื่อท่านกลีบถึงบ้านก็สอนภรรยาของท่านเป็นคนแรก กล่าวได้ว่าสาวกคนแรกของศาสดาโมฮัมหมัด ก็คือภรรยาของท่านนั่นเอง ต่อแต่นั้นก็สอนทาส กรรมกรในเรือนของตน จากนั้นก็ขยายผลไปยังคนรอบนอก เมื่อเริ่มต้นเป็นศาสดานั้นท่านอายุได้ 40 ปี ตรงกับ พ.ศ. 1153

เรื่องจริง
ท่านนบี  จะมีกิจวัตรที่ทำเป็นประจำคือ การไปบำเพ็ญเพียรทางจิต  ตามสถานที่เงียบสงบ เช่น ในถ้ำ หรือบนภูเขา ที่ห่างไกลผู้คนเป็นประจำอยู่แล้ว   และวิธีการที่ท่านนบีทำนั้น  ก็เป็นเรื่องปกติของชาวอาหรับที่นิยมชีวิตแบบสันโดษ  วีการเช่นนี้เรียกว่า “ตะฮันนุษ”  หรือ ตะฮันนุฟ”  
...การรับวะฮีย์ หรือการวิวรณ์โองการจากพระเจ้านั้น  คนละวิธีการกับการนิมิต  ...และ ผู้ที่นำวะฮีย์  มามอบให้ท่านนบีนั้น  ก็ไม่ใช่พระเจ้า  แต่เป็นเทวทูต นามว่า ญีบรีล
การมอบวะฮีย์ในครั้งนั้น  มีทั้งสิ้น โองการ  ไม่มีโองการใดที่บอกว่าให้ตั้งศาสนาใหม่  โองการทั้ง นั้นกล่าวถึงพระเจ้า และการสร้างสรรค์ของพระองค์เท่านั้น   นั่นคือ
1.จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด
2.ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด    
3.จงอ่านเถิดและพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง    
4.ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา    
5.ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้

...คำว่า นบี ไม่ได้แปลความหมายว่า ศาสดา หรือผู้ประกาศศาสนา
คำว่า นบี มาจากคำว่า  อัล – นะ บะห์   หมายถึง ข่าวที่มีประโยชน์  โดยข่าวนั้นต้องมีคุณสมบัติ ประการ คือ

-มีประโยชน์
-ให้ความรู้
-และขจัดข้อสงสัย

... นบี คือบุคคลที่พระเจ้าได้มีการวะฮีย์ (วิวรณ์) โองการมาเป็นการส่วนตัว  เพื่อใช้ให้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง.... ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่นำสาส์นจากพระเจ้าไปเผยแผ่  เราเรียกว่า  รอซู้ล หรือศาสนทูต


เรื่องโกหก
สมัยนั้นชาวเมกกะนับถือศาสนาแบบบกรีกที่เรียกว่า พหุเทวนิยม (มีเทพเจ้าหลายองค์) มีเทวรูปที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้ามากกว่า 300 องค์ ที่ชาวบ้านพากันเคารพบูชากราบไหว้
โมฮัมหมัดเที่ยวสั่งสอนผู้คนว่า พระเจ้ามีองค์เดียวคือพระอัลเลาะห์เท่านั้นขอให้ทำลายเทวรูปทั้งหลายให้หมด และไม่ต้องมีเคารพใด ๆ ไว้เป็นตัวแทนของพระลัลเลาะห์ คำสอนของท่านทำให้ชาวบ้านเกิดความโกรธแค้นไม่พอใจ พากันด่าประนามท่านโมฮัมหมัดว่า ผู้ทรยศ (ต่อมาภายหลังสาวกของท่านได้นำคำนี้มาใช้ในความหมายที่ดีคือ ทรยศต่อสิ่งไม่ถูกต้องในโลกนี้ )
 เรื่องราวชักจะลุกลามมากขึ้น เมื่อฝ่ายผู้ปกครองและชาวบ้านบีบคั้น กดดันห้ามไม่ให้ท่านเผยแผ่สั่งสอน ท่านเห็นภัยที่กำลังคุกคามใกล้เข้ามา ถ้าไหวตัวไม่ทันชะตากรรมอาจเป็นอย่างพระเยซู จึงหนีจากเมืองเมกกะไปเมือง เมดินะ ในปี พ.ศ. 1165 พร้อมด้วยสาวก 70 คน (ต่อมาภายหลัง ชาวมุสลิมได้กำหนดให้วันแห่งการหลบหนีนี้ กลายเป็นวันแห่งการเริ่มต้น นับศักราชฮิจเลาะห์ของอิสลาม) ท่านได้ซ่องสุมกำลังคน อาวุธยุทโธปกรณ์ ณ ทีเมืองเมดินะซึ่งก็ได้แก่สาวกที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นต่างก็เข้าร่วมอุดมการณ์ ครั้นวันใด กองคาราวานค้าขายจากเมืองเมกกะ เดินทางผ่านมาทางเมืองเมดินะท่านก็ยกกองกำลังเข้าโจมตีทำให้เกิดความเสียหายทางด้านการค้าและเศรษฐกิจรวมทั้งชีวิตของชาวเมกกะ

เรื่องจริง
การอพยพไปยัง  มาดีนะห์นั้น  เป็นบัญชาของพระผู้เป้นเจ้า  ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ท่านนบี  เผยแผ่ศาสนาอยู่ใน  เมกกะห์ ได้ 13 ปี ...เจตนาของผู้เขียน พยายามใส่ร้ายท่านนบีว่า  เป็นคนขี้ขลาด กลัวตาย  โดยอ้างเรื่องการตรึงพระเยซู โดยโรมัน มาเปรียบเทียบ..
...ในความเป็นจริง ท่านนบีไม่เคยกลัวตายเลย  ความกลัวตายไม่ใช่คตุณลักษณะของผู้เป็นนบี  หรือรอซู้ล  ใน 13 ปีแรกก่อนการอพยพนั้น  ท่านนบีต้องอดทนต่อการกลั่นแกล้งจากชาวมักกะห์อย่างหนัก  ท่านเคยถูกขว้างปาก้อนหินใส่  ถูกขว้างปาสิ่งโสโครก  สาวกหลายคนต้องถูกจับไปทรมานจนตาย  จนท่านต้องสั่งให้สาวกอพยพไปยังอบิสสิเนีย  แต่ตัวท่านก็ไม่ได้หนีไปแต่อย่างใด
....ท่านเคยไปเผยแผ่ศาสนาที่เมืองฏออีฟ  ถูกประชาชนด่าว่า  ขว้างปาก้อนหิน  ปล่อยสุนัขให้มาไล่กัด  จนท่านเลือดโชกไปทั้งตัว.....เทวทูต ญิบรีล  ลงมาหาท่านและถามท่านว่า  จะให้ลงโทษแก้แค้น ชาวเมือง ให้หรือไม่ ...หากต้องการ ญิบรีลก็พร้อมจะสังหารประชาชนทั้งเมืองให้ในพริบตา
….แต่ท่านกลับวิงวอนต่อพระเจ้าว่า
โอ้พระผู้เป็นเจ้า  ขอได้โปรดอภัยโทษ  แก่คนเหล่านั้นด้วยเถิด  เพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองได้ทำอะไรอะไรลงไป

คนที่กลัวตาย หรือ บ้าอำนาจ  เขาจะอ้อนวอนพระเจ้าเช่นนี้หรือครับ?

การอพยพไปมาดีนะห์นั้น  ก็เพราะเป็นบัญชาของพระเจ้า ประกอบกับเป็นความต้องการของชาวเมืองมาดีนะห์เองที่ต้องการให้ท่านนบีอพยพไปที่นั่น

เหตุการณ์เกิดขึ้นในปีที่ 11 ของการเป็นศาสนนทูต  กล่าวคือ  มีชาวมะดีนะฮ์ คนเข้าพบท่านศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม

ต่อมามีการทำ สนธิสัญญาอัลอะกอบะฮ์ครั้งที่ ในปีที่ 12 ของการเป็นศาสนทูต  มีชาวมะดีนะฮ์ 12 คนเข้าพบท่านนบี   โดยให้สัตยาบันว่าจะเคารพภักดีอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว
... และต่อมาก็มีการลงนามในสนธิสัญญาอัลอะกอบะฮ์ ครั้งที่ ในปีที่ 13  …โดยมีชาวมะดีนะฮ์ 75 คน  เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญาให้สัตยาบันว่าพวกเขาจะสนับสนุนและช่วยเหลือท่านศาสดาพร้อมทั้งบรรดาศอฮาบะฮ์ที่อพยพไปอยู่ที่มะดีนะฮ์
การกล่าวว่า  ท่านศาสดาซ่องสุมกำลังพลที่มาดีนะห์ นั้นก็เป็นการใส่ความชัด ๆ เพราะ  ณ ที่นั้น  รัฐอิสลามได้ก่อกำเนิดขึ้นมาโดยความพร้อมใจของประชาชนชาวมาดีนะห์  และยกให้ท่านนบีเป็นผู้นำรัฐ   นั่นคือเกิดความเป็นรัฐ อย่างสมบูรณ์  มีอธิปไตยเป็นของตนเอง   ...เป็นการประกาศตั้งรัฐอย่างเปิดเผย  ไม่ใช่การหลบซ่อน


เรื่องโกหก
ทางฝ่ายผู้ปกครองเมืองเมกกะ ทราบเรื่องก็ยกทัพใหญ่มาปราบมีกำลังพล 10,000 เข้าปิดล้อมเมืองเมดินะไว้ โมฮัมหมัดก็นำทัพออกสู้รบ การรบดำเนินไปโดยผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ท่านโมฮัมหมัดกล่าวชมผู้ที่ยอมต่ายเพื่อพระเจ้า ว่า “ อิสลาม” แปลว่า พลีชีพเพื่อพระเจ้า และกล่าวคำปลุกใจให้ทหารหาญของตนยอมสู้ตายอยู่บ่อยครั้งเป็นต้นว่าผู้ที่ตายในสงครามพลีชีพเพื่อพระเจ้า จะมีคติ ไปสู่โลกสวรรค์
“ ดาบ คือ กุญแจไขประตูสวรรค์ “
จงทำสงครามกับพวกนอกศาสนาจนกว่ามันจะยอมรับพระอัลเลาะห์ “

เรื่องจริง
สงครามครั้งแรก  คือสงครามบะดัรฺ  เป็นสงครามที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างชาวมุสลิมกับพวกกุเรช  เกิดขึ้นในเดือนรอมฏอน ปีที่ หลังจากอพยพ หรือ ค.ศ.624  ณ บ่อบัดรฺ  ซึ่งฝ่ายมุสลิมมีจำนวนคน  313 คน ส่วนกองทัพของเมกกะห์  มีจำนวนพลประมาณ1,000  คน โดยมีอบูญะฮัลเป็นแม่ทัพ
สงครามที่พวกเมกกะห์ยกทัพมาถึง 10,000 คนนั้นมีเพียงครั้งเดียว คือ สงครามคอนดัก  ซึ่งเกิดในปีที่ หลังการอพยพ  ซึ่งสงครามครั้งนั้น  ฝ่ายเมกกะห์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้  ต้องถอนกำลังกลับ  เนื่องจากไม่สามารถเข้าตีเมืองมาดีนะห์ได้
อิสลาม  แปลว่า สันติ ไม่ใช่แปลว่า พลีชีพเพื่อพระเจ้า...คำว่าพลีชีพเพื่อพระเจ้า  คือคำว่า  ฟีซะบีฮ์ลิลลาห์
...นี่คือการบิดเบือนคำสอนของอิสลามอย่างเห็นได้ชัด


เรื่องโกหก
ในสมัยนั้นบรรยากาศทั่วไปของสังคมโลกชอบทำสงครามอย่งถิ่นที่อยู่อาศัยกันอยู่แล้ว ใครครอบครองพื้นที่ได้มากก็จะได้รับสมญานามว่า จักรพรรดิ การทำสงครามรบกันไปรบกันมาจึงเป็นเรื่องปกติครั้นมาได้รับการสอนแบบปลุกใจให้ฮึกเหิมว่า ถ้าใครตายเพื่อการก่อตั้งอาณาจักรของพระเจ้าด้วยการทำสงครามเพื่อพระองค์ คน ๆ นั้นไปสวรรค์ บรรดาทหารหาญของโมฮัมหมัด จึงรบด้วยความเหี้ยมหาญดุดันไม่กลัวตาย และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพมุสลิมทั่วโลกในโอกาสต่อมา

เรื่องจริง

….ในสังคมชาวอาหรับ  ไม่มีคำว่า จักรพรรดิ  หรือระบบการปกครองแบบ จักรพรรดิ  การปกครองของชาวอาหรับเป็นลักษณะของ เผ่า หรือตระกูล  ไม่ใช่แบบกษัตริย์ หรือ จักรพรรดิ
...และในสมัยของรัฐอิสลาม  ก็ไม่เคยมีคำว่า จักรพรรดิ   ผู้นำของรัฐอิสลาม  ดำรงตำแหน่ง  คอลีฟะห์  ซึ่งแปลว่า  ผู้แทน  หรือผู้ที่ทำหน้าที่แทนประชาชน....อิสลามไม่เคยสอนให้  ไปรบเพื่อก่อตั้งอาณาจักรพระเจ้า...เรื่องอาณาจักรพระเจ้า  เป็นคติของคริสต์ไม่ใช่อิสลาม   การทำสงครามของอิสลาม  ก็เป็นไปเพื่อการปกป้องตัวเองจากการถูกรุกราน  ไม่ใช่การสร้างอาณาจักรพระเจ้า


เรื่องโกหก
เท่ากับว่าท่านโมฮัมหมัดได้สร้างกองทัพสายพันธุ์ใหม่ให้กับสังคมโลก เพราะสมัยก่อนหน้าพระนาบีโมฮัมหมัดนั้นสังคมเมืองของเอเชียกลางและที่อื่น ๆ เขาก็รบกันด้วยเรื่องแย่งกันครอบครองดินแดนเท่านั้น ซึ่งในยุคนั้นจะนับเป็นภัยสำคัญ ถ้านครรัฐของตนถูกรุกรานจากรัฐอื่น คตินิยมของคนสมัยนั้นจึงเป็นไปในทำนองเดียวกันว่า ทำอย่างไรจะให้คนในรัฐของตนหรือเผ่าของตนรบอย่างเข้มแข็งกล้าหาญ เพื่อปกป้องบ้านเมืองไว้ หรือถ้าเป็นฝ่ายบุกไปตีบ้านเมืองอื่นได้ก็ยิ่งดี ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่มีเกียรติจนผู้นำทัพได้รับการยกย่องว่าขุนพลบ้าง อัศวินบ้าง แม่ทัพบ้าง ถ้าใครเก่งมาก ๆ ก็เรียกว่าจักรพรรดิ ค่านิยมของการรบเก่งนี้บางเผ่าถือเป็นเกียรติอย่างสูงสุด แต่การรบที่ผ่านมาในอดีตไม่เคยมีเรื่องของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง ครั้นเมื่อถูกโยงด้วยศรัทธาเชื่ออย่างปักใจว่า การไปในความตาย คือการเดินทางเข้าประตูสวรรค์และการฆ่าคนนอกศาสนาเป็นบุญ รูปแบบการรบจึงอาจหาญไม่กลัวตาย และพร้อมที่จะฆ่าได้แม้เด็กทารกที่ยังไม่หย่านม โดยไม่รู้สึกผิด ถ้าชนะก็ได้ทั้งทรัพย์สมบัติ อาณาเขตดินแดน และผู้หญิง ถ้าแพ้ถูกฆ่าตายก็ไปขึ้นสวรรค์ มีแต่ได้กับได้ จึงกลายเป็นกองทัพที่เหี้ยมหาญดุดัน เป็นศาสนาที่นิยมทำสงครามมากที่สุดในโลก
...ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ เคยเกิดเหตุการณ์กบฏแขกมักกะสัน โดยที่พวกกบฏเหล่านั้นมีเพียง 60 คน แต่ฆ่าคนไทยตายไปเกือบ 400 คน ในเวลาที่กองทหารปราบกบฏเข้าจับกุมนั้น พวกกบฏใช้ผ้าพันแขนซ้ายยกขึ้นรับอาวุธที่ฟันลงมา และใช้กริชแทงสวนฆ่าทหารไทยไปหลายคนนอกจากนี้ยังฆ่าลูกเด็กเล็กแดง ชาวบ้านทั่วไปที่พวกเขาพบในระหว่างหลบหนี เจอใครเป็นฆ่าตายทุกคนจะไปเป็นคนรับใช้ของเขาในโลกอื่น และการฆ่าคนนอกศาสนาทุกครั้งได้บุญเพิ่มขึ้น การฆ่าจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

เรื่องจริง
...ทั้งหมดเป็นการใส่ร้าย  และบิดเบือนศาสนาอย่างรุนแรง  กฎปฏิบัติสงครามของอิสลามมีอยู่ว่า

1.จะต้องเข้มแข็ง เพื่อที่ศัตรูจะได้เกรงกลัว และไม่โจมตีพวกเจ้า ซึ่งจะลดการสูญเสียได้มาก
2.จงอย่าเริ่มต้นการเป็นศัตรูก่อน แต่จงทำงานเพื่อสันติภาพให้มาก
3.จงต่อสู้กับผู้ที่สู้กับเจ้าเท่านั้น ไม่มีการทำร้ายแบบเหมารวม ไม่ทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม และไม่ใช้อาวุธทำลายร้ายแรง
4.ยุติสงครามทันที เมื่ออีกฝ่ายมีแนวโน้มจะยอมรับสันติภาพ
5.รักษาสัญญาและข้อตกลงต่าง ๆ ตราบที่อีกฝ่ายยังรักษาอยู่

ข้อปฏิบัติทั่วไปสำหรับทหารที่ออกรบ
1.อย่าทรยศ หรือหักหลัง หรือคิดแค้นอาฆาตพยาบาท จงฆ่าฟันศัตรูด้วยเพราะหน้าที่การเป็นทหาร ไม่ใช่เพราะคิดแค้นอาฆาต
2.จงอย่าฟันศพ ทำร้ายศพ
3.จงอย่าฆ่าเด็ก คนแก่ หรือผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม
4.จงอย่าฆ่าสัตว์ ในระหว่างทางหรือในเมืองของศัตรู เว้นแต่เพื่อเป็นอาหารเท่านั้น
5.จงอย่าตัดต้นไม้ เผาไร่นา หรือสวนผลไม้
6.ไม่ทำอันตราย นักบวช ศาสนาใด ๆ และไม่ทำลายศาสนสถานของบุคคลเหล่านั้น
7.ผู้แพ้จะต้องได้รับสิทธิ์และเสรีภาพทุกประการเช่นมุสลิม



เรื่องโกหก

การปิดล้อมเมืองเมดินะนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1170 รบกันอยู่ไม่นานพวกเมกกะก็เป็นฝ่ายปราชัย เมื่อพวกเมกกะปราชัยไปแล้ว พวกชนเชื้อสายยิวในเมืองเมดินะถูกกวาดต้อนจับตัวมาลงโทษ ถ้าเป็นผู้ชายก็ให้ประหารชีวิตเสีย ถ้าเป็นผู้หญิงและเด็กก็ให้ขายเป็นทาสไปเมืองอื่น ทั้งนี้เพราะในระหว่างทำสงครามกับพวกเมกกะนั้น พวกชนชาติยิวเหล่านี้ถือโอกาสก่อกวนภายใน มุ่งทำร้ายท่านโมฮัมหมัด

เรื่องจริง
พ.ศ.1170  เทียบได้กับ ค.ศ.627  ก็คือ สงครามคอนดัก  ซึ่งเกิดในปีที่ แห่งการอพยพ   ฝ่ายเมกกะห์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้จริง  แต่เรื่องการกวาดต้อนชาวยิวมาประหารชีวิต  การขายผู้หญิงและเด็กไปเป็นทาส  เป็นเรื่องโกหก  และใส่ร้ายป้ายสีศาสนาอิสลาม   การบังคับคนให้ไปเป็นทาส  เป็นเรื่องที่ขัดต่อระบบจริยธรรมของอิสลามเป็นอย่างมาก  ผู้ที่ศึกษาศาสนาอิสลามมาอย่างดี  เขาจะไม่กล่าวออกมาเช่นนี้เด็ดขาด


เรื่องโกหก
ครั้นในปี พ.ศ. 1173 ท่านโมฮัมหมัดก็ยกทัพมีกำลังพล 10,000 บุกไปยังเมืองเมกกะ ฝ่ายเมืองเมกกะกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอบอบช้ำจากพิษของการแพ้สงครามและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จึงยอมแพ้แต่โดยดี ความสูญเสียจึงมีเพียงเล็กน้อยเมื่อยึดเมืองเมกกะได้แล้วท่านนาบีโมฮัมหมัดก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ (ชาวมุสลิมจะเรียกว่าองค์กาหลิบ) แล้วสั่งทำลายเทวรูปทั้งหมดในเมืองเมกกะเสียสิ้นและเปลี่ยนประชาชนชาวเมืองเมกกะให้หันมานับถือพระอัลเลาะห์กันหมดทั้งเมือง

เรื่องจริง
...การเดินทางของมุสลิม กว่า 10,000 คน ไปยังเมกกะห์นั้น  เป็นไปเพื่อการไปประกอบพิธีฮัจญ์  หรือการแสวงบุญ ซึ่งผู้เขียนบทความข้างต้น  อาจไม่รู้เรื่องเพราะไม่มีวาสนาได้ไปแสวงบุญแบบมุสลิม  จึงแสดงความโง่เขลาออกมา
...อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า  ชาวอาหรับไม่ได้ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์  การปกครองของอิสลามนั้น  เป็นระบอบคอลีฟะห์  หรือ กาหลิบ  แต่ ไม่ได้มีความหมายว่ากษัตริย์  แต่เป็นระบบผู้แทนของรัฐ  ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน...การเป็นผู้นำรัฐอิสลามของท่านนบีนั้นเกิดขึ้นที่มาดีนะห์  ไม่ใช่เมกกะห์
...และการหันมานับถืออิสลามของชาวเมกกะห์นั้น  ก็เป็นไปด้วยความสมัครใจของประชาชนเอง   ไม่ได้มีการบังคับต่อย่างใด


เรื่องโกหก

พระนาบีโมฮัมหมัดสิ้นพระชนเมื่อวันที่ มิถุนายน ปี พ.ศ.1175 สิริพระชนมายุได้ 60 ปีเศษ แม้ว่าท่านจะมีภรรยาถึง คน และมีบุตรหลายคน แต่บุตรชายของท่านตายเสียแต่อายุยังน้อยกันหมด เหลือเพียงบุตรสาวคนเดียวที่ชื่อว่า ฟาติมาะฮ์ จึงหาทายาททางสายเลือดมาสืบทอดตำแหน่งกาหลิบไม่ได้ พ่อตาของท่านโมฮัมหมัดนามว่า อบูบะการ์ จึงขึ้นครองราชย์แทน แต่ดำรงตำแหน่งกาหลิบอยู่เพียง ปี ก็สวรรคตอีก เปิดทางให้อูมาร์ซึ่งเป็นพ่อตาอีกคนหนึ่งขึ้นครองราชย์ (เหตุการณ์ต่อจากนี้ไปก็มีการขัดแย้งกันในหมู่ของมุสลิม มีการผลัดเปลี่ยนผู้นำอีกหลายคนและมีเหตุให้แตกนิกายออกเป็นหลายนิกายโดยที่การสงครามก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ตลอด500 ปี) จักรวรรดิมุสลิมจึงแผ่ขยายไปทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง แล้วบุกตะลุยต่อไปในอัลจีเรีย ซีเรีย มอรอคโค อียิปต์ สเปน อิตาลี่ คอนสแตนติโนเปิล ไปสะดุดหยุดอยู่ที่ฝรั่งเศสที่สามารถต้านทานไว้ได้

เรื่องจริง
...ท่านนบี วะฟาต (เสียชีวิต)  เมื่ออายุ 63 ปี  มีบุตร คน เป็น ชาย คน หญิง คน  บุตรบุญธรรม คนบุตรชาย เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก   ส่วนบุตรหญิงของท่านนบีนั้น
ท่านหญิง ฟาติมะห์  แต่งงาน กับ ท่านอาลี  (คอลีฟะห์ท่านที่ 4)
ท่านหญิง รุกอยยะห์ กับท่านหญิง อุมมุกัลษูม  แต่งงานกับ  ท่านอุสมาน (คอลีฟะห์ท่านที่ 3)
ท่านหญิง ซัยนับ แต่งงานกับ อบุลอาส อิบนุ อัร – รุบัยย์

...การเลือกคอลีฟะห์นั้น  ไม่ใช่การเลือกด้วยระบบสายเลือด  แต่เป็นการลงประชามติ  โดยมีการให้สัตยาบัน (บัยอะห์ ) คำกล่าวในบทความข้างต้น  จึงบิเบือนโดยสิ้นเชิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น