วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แถลงการณ์โต้แอ๊ด คาราบาว

เรียบเรียงโดย Muslim Hot Report.

www.mureed.com

นิตยสารรายปัก Hamburger ซึ่งเป็นนิตยสารแนวทางเลือกใหม่สำหรับเสรีชน ที่ต้องการเปิดกว้างทางความคิด ในฉบับที่ 100 (ปักแรกของเดือนตุลาคม) ได้ทำการสัมภาษณ์แอ๊ด คาราบาว (ยืนยง โอภากุล) เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันและชีวิตการทำเพลงของนายแอ๊ด

เมื่อถูกถามถึงเหตุผลที่ทำให้ตอนนี้แต่งเพลงได้เร็วกว่าเมื่อก่อน นายแอ๊ด หัวหน้ากลุ่มกระบือ(คาราบาว) ก็ได้พยายามโชว์ภูมิตอบถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงว่ามีเหตุผลมาจากความหงุดหงิดใจที่เห็นคนมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องความเชื่อ ดังมีคำพูดต่อไปนี้

 เพราะคนเราสมัยนี้ ไม่ค่อยเชื่อ ไม่เคารพความจริง แต่มักจะไปชอบ ไปเชื่อในความเชื่อมากกว่า เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แต่ความจริงเรามีใครเห็นพระเจ้าบ้าง ผมไม่เชื่อว่าพระเจ้าหรือพระมูฮัมหมัดมีจริง ผมว่าเป็นการอุปโลกน์ขึ้นมาของมนุษย์เท่านั้น แต่ที่มีจริงก็คือศาสนิกทั้งหลายแม่งจ้องจะรบกันท่าเดียว รบเพื่อพระเจ้าของตัวเอง เขียนกันขึ้นมาเอง แล้วก็ล่อกันเอง สร้างเรื่องกันเอง แล้วเดินเข้าไปสู่มิตินั้น หยิบอาวุธขึ้นมาแล้วจะห้ำหั่นกัน ผมถึงคิดว่าพระเจ้าไม่มีหรอก แต่ศาสนาพุทธเนี่ย มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในพุทธกาล มีตัวจริง และแปลกไหมว่าถึงแม้ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนทั้งหลายก็มักจะชอบเชื่อเรื่องความเชื่อมากกว่า คิดแต่เรื่องความเชื่อ จนในที่สุดความจริงก็ไม่มีความหมาย เช่นเชื่อว่าห้อยพระองค์นี้แล้วเหนียวแคล้วคลาด แต่ไม่เคยดูความจริงเลยว่าพระมันจะมาช่วยได้ยังไงล่ะ ขนาดพระด้วยกันยังช่วยไม่ได้เลย หลวงพ่อคูณบอกว่า กูก็โดดหนีตั้งแต่เห็นมึงขับ 140 แล้ว เนี่ย เรื่องแบบนี้แหละที่ผมสนใจ อย่างเพลง บัวลอย นี่ผมก็แต่งจากความจริงที่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ทำออกมาเป็นภาคปฏิบัติผ่านชายคนนึงที่ชื่อบัวลอย เขาเสียชีวิตแทนเพื่อน ตายให้มิตรภาพให้สังคม เป็นคนดีมาก ผมอยากให้แผ่นดินนี้มีคนแบบบัวลอยเยอะๆจริงๆ นี่ก็แปลจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องบัวใต้น้ำบัวพ้นน้ำนะ แต่ว่าขึ้นอยู่กับว่าเราจะเขียนแบบไหนเท่านั้น 

นั่นคือถ้อยคำของนายแอ๊ด ซึ่งก่อนอื่นลองมาดูตรรกะจากสมองของนายแอ๊ดกันก่อน ไม่ทราบว่าทุกคนจับใจความได้ดังนี้หรือเปล่า
1.)      ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มี ! (ไม่เห็น = ไม่มี)
2.)      ในเมื่อมนุษย์อุปโลกน์สร้างความเชื่อกันขึ้นมาเอง ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มี ! (ลองคิดดูหากคนเมื่อ 2,000 ปีก่อน อุปโลกน์ขึ้นมาว่า สิ่งมีชีวิตที่เล็กกว่าตาเห็นมีจริง ดังนั้นในเมื่อเป็นการอุปโลกน์ สิ่งมีชีวิตที่เล็กกว่าตาเห็นจึงไม่มีจริงใช่หรือไม่? นี่แหละตรรกะนายแอ๊ด!)
3.)      เมื่อมนุษย์รบรากันจากการสร้างความเชื่อขึ้นเอง ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มี ! (มนุษย์จะรบไม่รบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการมีหรือไม่มีของพระเจ้า?)
เอาล่ะเราไม่ต้องชี้แจง แต่ให้ท่านได้พิจารณาเอาเองว่า ภูมิต่ำๆแบบนี้ยังจะทะนงตนอวดดีและกล้ามาโชว์พาว!

ทีนี้เราจะขอชี้แจงถ้อยคำของนายแอ๊ดทีละท่อน 

เพราะคนเราสมัยนี้ ไม่ค่อยเชื่อ ไม่เคารพความจริง แต่มักจะไปชอบ ไปเชื่อในความเชื่อมากกว่า

ชี้แจง : ประโยคนี้เราเห็นด้วยยิ่งกว่า! ว่ามนุษย์เรา(ไม่ใช่เฉพาะสมัยนี้ แต่เป็นอย่างนี้มานมนานแล้ว) ไม่เคารพความจริง และขอเสริมว่านอกจากไม่เคารพความจริงแล้ว ยังมีกมลสันดาลที่ไม่ชอบที่จะแสวงหาความจริง หรือหากเมื่อเจอความจริงแล้วก็ยอมรับความจริงไม่ได้ มักจะชอบหลับหูหลับตายึดถือยึดมั่นในสิ่งที่บรรพบุรุษตัวเองยึดถือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อหรือประเพณี อะไรก็ตามล่ะที่เป็นของเผ่าของบรรพบุรุษฉัน ชาติของบรรพบุรุษฉัน ศาสนาของบรรพบุรุษฉัน มันช่างดีเลิศ! ช่างน่าภาคภูมิเสียเหลือเกิน! อะไรที่มันเป็นปมเด่นในศาสนาของฉัน ยกยอกัน ช้อนแล้วช้อนอีกถึงแม้จะมีน้อยนิดก็ตาม  ส่วนปมด้อยในศาสนาของฉัน ก็ทำเป็นหลับหูหลับตามองไม่เห็นซะ

เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แต่ความจริงเรามีใครเห็นพระเจ้าบ้าง ผมไม่เชื่อว่าพระเจ้าหรือพระมูฮัมหมัดมีจริง ผมว่าเป็นการอุปโลกน์ขึ้นมาของมนุษย์เท่านั้น

ชี้แจง : นายแอ๊ดได้สื่อความหมายว่า พวกที่ไม่ชอบความจริงก็คือพวกที่นับถือพระเจ้านั่นเอง ซึ่งพูดมารวมๆแบบนี้ก็คือรวมถึงชาวคริสต์ด้วย (กล่าวคือข่มศาสนาอื่นไว้ก่อน เพื่อเตรียมจะยกหางตัวเอง ว่างั้น?) แต่การพูดว่าความเชื่อดังกล่าวนี้ไม่ใช่ความจริง แสดงให้เห็นว่านายแอ๊ดไม่ค่อยได้สละเวลาการเลี้ยงไก่ชนไปศึกษาศาสนาต่างๆอย่างจริงๆจังๆเลย ซึ่งวัดได้เลยว่านายแอ๊ดเพียงรู้เพียงผิวๆจากข้อมูลประติดประต่อกันทีละเล็กละน้อย แล้วอาศัยการเดาจึงไม่รู้ว่ามุสลิมมีการศรัทธาในลักษณะใด (เห็นแอ๊ดไม่ค่อยชอบฝรั่ง แต่ขอใช้ภาษาฝรั่งหน่อย) เขาเรียก ‘Concept of God’ ในอิสลาม เป็นการใช้ปัญญาไม่ใช่การศรัทธาแบบสมมุติอุปโลกน์ขึ้นมา แต่เอาล่ะ! ตรงนี้มันจะใช้เวลานาน และมันก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะขอชี้แจงนายแอ๊ด แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่นายแอ๊ดได้พูดจาตลกๆว่าไม่เชื่อว่านบีมุฮัมมัด มีจริง? (ขอความสันติประสพแด่ท่านนบี)  นี่แหละ! ปล่อยไก่ชนตัวเบ้อเริ่ม! ก็นายแอ๊ดไม่มีความรู้ไงว่าในบรรดานักประวัติศาสตร์ทั่วโลก เขาไม่มีใครขัดแย้งกันในการมีตัวตนของนบีมุฮัมมัด คือในหมู่คนมีความรู้ อย่าว่าแต่จะกล้าพูดออกมาเลย เพราะไอ้ความคิดว่านบีมุฮัมมัดไม่มีตัวตนจริงเนี่ย ไม่มีใครเขากล้าที่จะคิด! นักประวัติศาสตร์เขาเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ในเรื่องตัวตนของศาสดาอิสลามท่านนี้ แต่จะไปขัดแย้งกันในเรื่องชีวประวัติ ชาวตะวันตกบางคนก็ยกย่องชื่นชม บางคนก็เกลียด (นี่เขาเห็นขัดแย้งกันตรงนี้ต่างหาก!) เขาเชื่อว่ามีนบีมุฮัมมัดจริง ส่วนนบีมุฮัมมัดจะเป็นรอซูล(ผู้นำสาร)จากพระเจ้าจริงหรือไม่? ตรงนี้ต่างหากที่เขาปฏิเสธ
            ขอตัวอย่างของชาวตะวันตกฝ่ายที่ยกย่องนบีมุฮัมมัด เช่นนิตยสารรายสัปดาห์ TIME ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 1974 หน้า 32-33 ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “Who Were History's Great Leaders ?” (ใครคือผู้ที่นำที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์?)ของนักจิตวิเคราะห์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อจูลส์ มาสเซอร์แมน (Jules Masserman) ซึ่งได้วางหลักเกณฑ์กว้างๆในการคัดเลือกไว้ว่าผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลได้นั้น จะต้องปฏิบัติหน้าที่ ประการต่อไปนี้ให้สำเร็จ นั่นคือ 1.) ให้ความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้คนทั่วไป 2.) สร้างระเบียบทางสังคมที่ทำให้คนที่อยู่อาศัยในนั้นมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย 3.) สร้างระบบความเชื่ออย่างหนึ่งให้แก่สังคม  จากสามข้อนี้ นายจูลส์ มาสเซอร์แมนสรุปว่า คนอย่างหลุยส์ ปาสเตอร์และซอล์ค เป็นผู้นำในข้อแรก ส่วนคนอย่างคานธีและขงจื๊อในด้านหนึ่งและคนอย่างอเล็กซานเดอร์ ซีซ่าร์และฮิตเลอร์ในอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นผู้นำในข้อที่สองและในข้อที่สาม สำหรับพระเยซูและพระพุทธเจ้านั้นก็เป็นผู้นำในข้อที่สามเท่านั้น แต่คนที่เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลก็คือมุฮัมมัดผู้ทำหน้าที่ทั้งสามได้ครบ ถึงแม้โมเสสจะทำได้เหมือนกับมุฮัมมัด แต่ก็ยังน้อยกว่า
                อีกตัวอย่าง ในปี ค.ศ. 1978 หนังสือ “The 100 ? A Ranking of The Most Influential Persons in History ( 100 ลำดับบุคคลผู้มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์) ซึ่งเขียนโดยนายไมเคิล เอช. ฮาร์ท (Michael H. Hart) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันและเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่งในเวลานั้น
ได้จัดอันดับบุคคลสำคัญจำนวน 100 คน ซึ่ง 20 อันดับแรกได้แก่
1) นบีมุฮัมมัด 
2) 
ไอแซค นิวตัน
3) พระเยซูคริสต์
4) พระพุทธเจ้า
5) ขงจื๊อ
6) เซนต์ ปอล
7) ไซหลุน
8) โยฮาน กูเต็นเบิร์ก
9) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
10) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
11) คาร์ล มาร์กซ
12) หลุยส์ ปาสเตอร์
13) กาลิเลโอ
14) อริสโตเติล
15) เลนิน 16) โมเสส 17) ชาร์ส ดาร์วิน 18) ซีหวังตี 19) ออกัสตัส ซีซ่าร์ 20) เหมาเจ๋อตุง
            นายไมเคิล เอช. ฮาร์ท ได้กล่าวว่า การรวมกันของอิทธิพลทางโลกและศาสนาอย่างไม่มีอะไรมาเสมอเหมือนได้นี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกว่านบีมุฮัมมัดสมควรที่จะถูกพิจารณาว่าเป็นบุคคลเดียวที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
            ความจริงแล้ว นายแอ๊ดจะมีความเชื่ออย่างไร คงจะไม่มีใครว่าหรือมีใครไปห้าม เพียงแต่ในส่วนที่น่าจะรู้ เราก็อยากจะนายแอ๊ดได้รู้และคิดได้ (ง่ายๆ) เราขอถามกลับว่า ไอ้ที่ว่า เป็นการอุปโลกน์ขึ้นมาของมนุษย์เท่านั้น” ขอถามว่ามนุษย์คนไหนอุปโลกน์? ไหนขอหลักฐานหน่อยเพราะการพูดลอยๆแบบเดาๆแบบนี้ใครๆก็พูดได้ (และพูดง่าย) ไหนตอบหน่อยซิว่า ใครอุปโลกน์? และอุปโลกน์กันกี่คนแล้วทำไมแต่ละคนมันถึงอุปโลกน์ตรงกันได้?

แต่ที่มีจริงก็คือศาสนิกทั้งหลายแม่งจ้องจะรบกันท่าเดียว รบเพื่อพระเจ้าของตัวเอง

ชี้แจง คำว่าศาสนิกทั้งหลายในที่นี้ก็อิงไปที่คำพูดก่อนนี้ ก็คือศาสนิกที่นับถือพระเจ้าและนบีมุฮัมมัดนั่นเอง ซึ่งจ้องจะรบกันท่าเดียว! จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องชี้แจงนะ เพราะถ้าเป็นมนุษย์น่ะนะ ไม่ใช่คาราบาวน่ะนะ ก็น่าจะคิดออกว่า มนุษย์เราเนี่ย มีใครมั่งล่ะที่จะไม่อยากจะอยู่อย่างสงบ ก็ดูอย่างเพลงชาติไทยสิ ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด อ้าว! ขนาดเพลงชาติก็ยังสอนให้เราบู๊เหมือนกันหนิ ก็ถ้าแอ๊ดสับสนว่าเขารบกันทำไมก็ไปศึกษาประวัติดูสิ ว่าปาเลสไตน์กับอิสราเอลมันมีความเป็นมายังไง? สงครามครูเสดมันเป็นมายังไง? อเมริกากับอิรัคมันเป็นมายังไงอเล็กซานเดอร์เขารบยังไง? อโศกมหาราชเขารบยังไง? พระนเรศวร, พระเจ้าตากสิน ฯลฯ (นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ของแอ๊ด) เขารบทำไม รบยังไง? ไทยตีกับพม่าทำไม? ลาวกับไทยตีกันทำไม? ที่ไหนๆ ชนกลุ่มๆไหนๆมันก็มีรบกันทั่งนั้นแหละ! อย่ามาเจาะจงเลยแอ๊ด เพียงแต่ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่โลกมุสลิมถูกรุมกินโต๊ะก็เท่านั้นเอง ตรงนี้นายแอ๊ดต้องเข้าใจ จะได้ไม่มั่ว!
            แล้วอย่าว่าแต่มุสลิมเลย นายแอ๊ดคงจะไม่รู้ ว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าเอง(ที่แอ๊ดได้เอ่ยถึง)ก็สอนเรื่องทำสงครามไว้เช่นกัน เพียงแต่ในพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยตัดส่วนนั้นออกไปก็เท่านั้นเอง(ด้วยความผิดพลาดประการใด ไม่ขอเอ่ยถึง) ภาษาไทยก็แปลมาจากบาลี ภาษาอังกฤษก็แปลมาจากบาลี แต่เราลองมาดูฉบับภาษาอังกฤษกันว่ามีเนื้อความอย่างไร (จากฝ่ายพุทธเอง ไม่ใช่จากฝรั่งศาสนิกอื่น) จริงๆแล้วเนื้อหาที่ฉบับภาษาไทยตัดออกไปนั้นมีจำนวนยาวพอสมควรที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ดิ้นรนและการต่อสู้เพื่อคุณธรรม(ในภาษาอาหรับเรียกว่า ญีฮาด) แต่จะขอยกตัวอย่างบางส่วนดังนี้

“ He who goeth to battle, O Simha, even though it be in a righteous cause, must be prepared to be slain by his enemies, for that is the destiny of warriors; and should his fate overtake him he has no reason for complaint ”

(คำแปล)  บุคคลผู้เข้าสู่สงคราม โอ้ สีหะ แม้ว่าจะด้วยความถูกต้องชอบธรรม เขาก็จำต้องเตรียมตัวเตรียมใจ สำหรับการถูกสังหารโดยศัตรูของเขา เพราะสิ่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางของบรรดานักรบและถ้าชะตากรรมของเขาจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องร้องทุกข์

“ Struggle then, O general, courageously; and fight thy battles vigorously, but be a soldier of truth and the Tathagata will bless thee.”

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จงต่อสู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะต่อไปเถิดท่านนายพล และทำศึกสงความของท่านด้วยความกล้าหาญ แต่จงเป็นทหารหาญแห่งสัจจะแล้วตถาคตจะให้พรแก่ท่าน

(อยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ 5  พระวินัยปิฎก เล่มที่ 5 มหาวรรค ภาค 5  เรื่องสีหะเสนาบดี
ดำริเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ส่วนในฉบับภาษาไทยนั้นไม่มีข้อความที่ได้ยกมา)


ดังนั้นเขามีการรบมีการทำสงครามกันทั้งนั้นแหละนายแอ๊ด เพียงแต่จะรบเพื่อใครก็เท่านั้น ถ้ารบเพื่อชาติ นายแอ๊ดก็จะยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ เป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ คนบ้านเราก็ทำรูปปั้นกันขึ้นมาเป็นที่ระลึกเคารพบูชากัน เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี

 เขียนกันขึ้นมาเอง แล้วก็ล่อกันเอง สร้างเรื่องกันเอง แล้วเดินเข้าไปสู่มิตินั้น หยิบอาวุธขึ้นมาแล้วจะห้ำหั่นกัน ผมถึงคิดว่าพระเจ้าไม่มีหรอก

ชี้แจง : กล่าวคืออุปโลกน์พระเจ้าขึ้นมา อุปโลกน์ศาสนาขึ้นมา เขียนกันขึ้นมาเอง”! ตรงนี้ต้องเน้นอีกที ว่าตกลงใครเขียน? หรือไอ้คนที่ล่อกันนั้นเขียนขึ้นมา? ขออนุญาตเปลี่ยนจากคำว่าล่อ เป็นคำว่ารบ’ มิเช่นนั้นแล้วมันจะยุ่งไปหมด พอเราพูดถึงสงคราม ถ้าเราใช้คำว่าล่อ’ มันดูยังไงๆอยู่  อเมริกาล่อกับอิรัค” “พม่าล่อกับไทย ไทยล่อกับขอม ไทยล่อกับลาว ซึ่งแบบนี้ไม่ดีแน่ ผู้คนต้องสูญเสียชีวิตไปมากมาย เขาคงไม่พอใจที่จะบอกว่าตายเพราะล่อกันแน่นอน 
                ส่วนที่ว่า “สร้างกันขึ้นมาเอง”! ก็เช่นกัน ใครล่ะ? ใครสร้าง? นึกภาพให้ออก อย่าบีบสมองให้เหลือน้อยนิดแล้วเดาแบบลอยๆ! ไอ้ที่ว่าเริ่มเขียนเรื่อง เริ่มสร้างเรื่องน่ะ เขาเริ่มสร้างกันตั่งแต่ตอนไหน? ไหนลองวิเคราะห์ด้วยสมองให้ดูหน่อยซิ? 1,400 ปีที่แล้ว? 1,200 ปีที่แล้ว? หรือ 800 ปีที่แล้ว? ไหนลองพูดแบบคนมีความรู้หน่อย เพราะแบบนี้มันเหมือนชาวบ้านที่ไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์ เขาก็นึกว่าเรื่องของศาสนาและเรื่องราวของศาสดาเนี่ย เป็นแค่นิยาย! (แต่เดี๋ยวจะรู้ว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนนิยาย?)
ว่าด้วยเรื่องการแต่ง การเขียน การสร้างเนี่ย ถามจริงๆเถอะ ถ้าให้คน 100 คนแต่งเนี่ย เรื่องมันจะตรงกันไหม? ไม่เป็นไรลดให้น้อยลงมาอีก เอาแค่ 10 คนเนี่ย แต่งเรื่องมา เขียนเรื่องมา ถามว่าเรื่องมันจะตรงกันไหม? ไม่เชื่อลองดู ให้แค่ 3 คนพอ ให้ไปเขียนหนังหรือเขียนนิยายมาซักเรื่องซิ ดูว่ามันจะตรงกันไหม? มันไม่ตรงหรอก! เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรก็ตาม ต้นเรื่องมันต้องมาจากแหล่งเดียวหรือคนๆเดียว นี่คือสูตร
ดังนั้นชาวมุสลิมที่นับถือพระเจ้า เชื่อว่านบีมุฮัมมัดเป็นรอซูล มีอัลกุรอานเป็นคัมภีร์ จากอัลกุรอานฉบับที่ถูกรวบรวมเขียนเป็นตำราครั้งแรกเมื่อ 1,400 กว่าปีที่แล้ว (สมัยของคอลีฟะฮฺอุษมาน) ซึ่งถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ตุรกี (ของแท้ เป็นที่พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์) กับอัลกุรอานที่ใช้กันอยู่และพิมพ์ไปทั่วโลกในปัจจุบัน ก็ยังคงข้อความเดียวกัน ตัวอักษรเดียวกันเป๊ะ! แล้วมุสลิมจะกี่ยุคกี่สมัยเขาก็เห็นพ้องตรงกันในความเชื่อ(ในเรื่องจริง)แบบนี้เนี่ย นั่นแสดงว่าต้นเรื่องต้องมาจากที่เดียวกัน ดังนั้นคนมีความรู้เขาจึงไม่แย้งในเรื่องนี้ ส่วนไอ้คนที่แย้งน่ะคือไม่มีความรู้ 
                 นายแอ๊ดไม่เคยศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์โลก (หรือเรียนมาแบบท่องจำ แล้วก็ลืมหมดไป) ว่ามันจะมีประวัติเมโซโปเตเมีย, อียิปต์, อินเดีย, จีน, กรีก-โรมัน, และพอมาในยุคหนึ่งเขายกให้เต็มๆว่า ประวัติโลกอิสลาม เพราะเป็นยุคที่รัฐอิสลามกระจายอำนาจไปทั่วจนถึงยุโรปบางส่วน และทางโลกตะวันออกที่เจริญแล้วนี่ไม่เหลือ เป็นของรัฐอิสลามหมด(ส่วนไทยยังไม่เกิด) ซึ่งนักประวัติศาสตร์ทุกคนรู้จักนบีมุฮัมมัด รู้จักคอลีฟะฮฺอบูบักรฺ(ตะวันตกเรียกกาหลิปอาบู บาการ์) รู้จักคอลีฟะฮฺอุมัรฺ(โอมาร์) รู้จักคอลีฟะฮฺอุษมาน รู้จักคอลีฟะฮฺอาลี เป็นอย่างดี รวมถึงสาวกคนอื่นๆด้วย
ที่ว่ามานั้นใช่ว่าเราสนใจการบันทึกประวัติศาสตร์ของชาวตะวันตก เพราะในโลกมุสลิมนั้น(นอกจากอัลกุรอาน)ยังมีศาสตร์ที่เจริญกว่าตะวันตกในเรื่องของการบันทึกประวัติศาสตร์ นั่นคือเรื่องของวิชาหะดีษ’ ซึ่งได้บันทึกชีวประวัติ คำสั่งสอนและการปฏิบัติของท่านนบีมุฮัมมัดและสาวก โดยมีการระบุตัวผู้รายงาน ระบุสถานะและคุณสมบัติของผู้รายงาน และมีการตรวจสอบเลือกเฟ้นเป็นอย่างดี ก่อนจะถูกบันทึกในตำราของศตวรรษที่ 2 และ 3  ซึ่งหากเราจะนำมาตรฐานของวิชาหะดีษมาชี้วัดแล้ว คัมภีร์ของศาสนาอื่นๆ หรือตำราประวัติศาสตร์ทั่วๆไป จะถือว่าอยู่ในสถานะที่เชื่อถือไม่ได้ (คือไม่ได้ระบุสายรายงานจนสืบไปถึงต้นเรื่อง) ด้วยเหตุนี้เองนักวิชาการตะวันตกที่วิจัยเกี่ยวกับข้อมูลอิสลามจึงไม่มีใครปฏิเสธ Authentic Hadith (หะดีษที่สายรายงานแข็ง)ของอิสลาม
และนอกจากเรื่องของหะดีษแล้ว ในยุคแรกๆโลกมุสลิมก็ยังมีบรรดานักปราชญ์ ผู้ซึ่งทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหานิติศาสตร์อิสลาม และเช่นกัน นักวิชาการตะวันตกไม่มีใครปฏิเสธตัวตนของอิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺ, อิหม่ามมาลิกี, อิหม่ามชาฟิอีย์, อิหม่ามอะหฺมัด (เจ้าของ 4 มัซหับ) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ในปัจจุบันก็มีสอนในมหาวิทยาลัยทั้งในตะวันตกและในประเทศไทย แต่ทว่าน่าเสียดาย ที่นายแอ๊ดไม่รู้!

แต่ศาสนาพุทธเนี่ย มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในพุทธกาล มีตัวจริง

ชี้แจง : ทีแบบนี้ล่ะอ้างลอยๆ พูดเอาเองดื้อๆ นายแอ๊ดจะเอาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ไหมล่ะว่าพูดจริง? รู้ไหมว่า นบีมุฮัมมัด นักประวัติศาสตร์ไม่มีข้อขัดแย้งกันเลยว่ามีตัวตนจริง แต่พระพุทธเจ้าเนี่ย นักประวัติศาสตร์มีการขัดแย้งกันนะ บ้างก็เชื่อว่ามีตัวตนจริง บ้างก็เชื่อว่าไม่มี!
แต่เอาล่ะ บอกไว้ให้รู้เท่านั้น แต่จากสูตรที่ได้กล่าวไปว่า เรื่องใดๆก็ตาม ย่อมมีต้นเรื่องมาจากแหล่งเดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่า คนในอดีตจะพร้อมใจกันโกหกขึ้นมา

และแปลกไหมว่าถึงแม้ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนทั้งหลายก็มักจะชอบเชื่อเรื่องความเชื่อมากกว่า คิดแต่เรื่องความเชื่อ จนในที่สุดความจริงก็ไม่มีความหมาย เช่นเชื่อว่าห้อยพระองค์นี้แล้วเหนียวแคล้วคลาด แต่ไม่เคยดูความจริงเลยว่าพระมันจะมาช่วยได้ยังไงล่ะ ขนาดพระด้วยกันยังช่วยไม่ได้เลย หลวงพ่อคูณบอกว่า กูก็โดดหนีตั้งแต่เห็นมึงขับ 140 แล้ว เนี่ย เรื่องแบบนี้แหละที่ผมสนใจ

ชี้แจง : เฉพาะท่อนนี้ เราเห็นด้วยทุกตัวอักษร

อย่างเพลง บัวลอย นี่ผมก็แต่งจากความจริงที่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ทำออกมาเป็นภาคปฏิบัติผ่านชายคนนึงที่ชื่อบัวลอย เขาเสียชีวิตแทนเพื่อน ตายให้มิตรภาพให้สังคม เป็นคนดีมาก ผมอยากให้แผ่นดินนี้มีคนแบบบัวลอยเยอะๆจริงๆ นี่ก็แปลจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องบัวใต้น้ำบัวพ้นน้ำนะ แต่ว่าขึ้นอยู่กับว่าเราจะเขียนแบบไหนเท่านั้น

ชี้แจง : พอได้ยินคำสอนเรื่องบัวพ้นน้ำ คนเรานี่ก็แปลก มักมีสันดานชอบที่จะคิดว่าตัวฉันเองนี่แหละบัวพ้นน้ำ! ปัญหาที่คนมักคิดไม่ถึงคือ บัวที่มันอยู่ในโคลนเนี่ย มันเคยเห็นน้ำไหม? มันไม่รู้จักน้ำหรอก เพราะฉะนั้นไอ้การที่มันอยู่ในโคลนตมเนี่ย มันอาจจะนึกว่าโคลนนั้นคือน้ำก็ได้! มันอยู่ในโคลนตมแท้ๆ แต่ตัวมันเองกับคิดว่ามันลอยอยู่พ้นน้ำ  นายแอ๊ดถึงได้สรุปมั่วๆไงว่า ไอ้คนชื่อบัวลอย เป็นบัวพ้นน้ำ!
            นอกจากนั้นแล้วนายแอ๊ดก็บอกว่า เรื่องนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า! (ถึงแม้เราจะไม่ขอโต้แย้งในเรื่องนี้ แต่ก็น่าถามกลับให้คิด) ต้องถามว่า ตกลงรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง? เชื่อได้ยังไง? หรือเคยเห็นว่าพระพุทธเจ้าสอนแบบนี้จริงๆ? นี่แหละ ก็ถ้าแอ๊ดบอกว่า จะเป็นคำสอนของใครก็ช่างเถอะ แต่ฉันเห็นว่าดี” แบบนี้สิพอให้ผ่าน แต่นายแอ๊ดเล่นสรุปทำนองว่าในเมื่อคำสอนนี้ดี คำสอนนี้ถูก แสดงว่าพระพุทธเจ้ามีจริง! ( คำสอนดี = ผู้ถูกอ้างอิงมีจริง  >> นี่แหละตรรกะนายแอ๊ด) เรื่องพระพุทธเจ้าเราไม่พูดถึง ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือนายแอ๊ดสรุปเอาดื้อๆว่านบีมุฮัมมัดไม่มีจริง! นั่นหมายความว่าศาสนิกนี้กินหญ้า (ทั้งๆที่ไม่ใช่คาราบาว) แล้วยังพูดจาดูถูกศาสนิกอื่นแบบนี้ ถือว่าไม่ผ่าน! (แถมจะข่มเขาทั้งที ยังไร้ความรู้อีกต่างหาก) 


เจาะสมองแอ๊ด คาราบาว

นายแอ๊ดซึ่งให้สัมภาษณ์ในหนังสือคอลัมน์เดียวกันนี้ เมื่อถูกถามว่าทำไมไม่ไปร่วมกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเพื่อไล่ทักษิณ นายแอ๊ดตอบว่า ..ผมด่าก่อนคุณสนธิอีก ผมน่ะเคยไปหาคุณสนธิให้ร่วมมือกับผมเรื่องไข้หวัดนก ผมโจมตีรัฐบาลเรื่องไข้หวัดนก แต่เขาไม่เอาด้วย..” “..ชวนคุณสนธิด่า คุณสนธิก็ไม่ด่า ไม่เอาด้วย คงกำลังดีกับทักษิณ ทีนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้ผมออกไปร่วมกับเขา..”  นั่น! ว่าง่ายคืองอน ว่างั้นเหอะ? คือจริงๆแล้ว คุณสนธิจะดีหรือไม่ดีอยู่กับทักษิณคงไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือ ไอ้การไปประท้วงเรื่องไก่น่ะ ไม่มีใครเขาเอาด้วยหรอก! ไอ้คนที่เขาไปไล่ทักษิณน่ะ เขาไม่ได้ไปเพราะเรื่องไก่นะ ไก่มันจะชนมันจะชักยังไงเขาไม่สนหรอก!
นายแอ๊ดผู้ซึ่งมีความสับสนในตัวเอง สับสนทั้งเรื่องอุดมการณ์ แนวคิดและจุดยืน ต้องยอมรับว่าแอ๊ดสับสน (แต่ขอเท่ไว้ก่อน!) นายแอ๊ดผู้ซึ่งโตมากับการเลี้ยงแบบอนุรักษ์นิยม ปลูกฝังแนวคิดแบบไทยๆ ให้รักความเป็นไทย ให้อนุรักษ์รักษาและภูมิใจในชาติ ศาสนาของตน มีความเชื่อตามแบบท้องถิ่น กลัวผี, กลัวบาปกรรม, อยากสร้างบุญสั่งสม ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนไทยอีกจำนวนมาก แต่แล้วพอโตมา เมืองไทยเราเริ่มมีอิทธิพลจากตะวันตก มีแนวคิด มีค่านิยมที่ปะปนเข้ามาในเมืองไทย
เราลองมาดูค่านิยมของแอ๊ดกันมั่งซิ ว่ารับอิทธิพลอะไรมามั่ง? เดิมๆทีเชื่อว่าแอ๊ดก็ถูกปลูกฝังมาให้อยู่กับวัฒนธรรมไทยนี่แหละ รักสุดหัวใจกับเพลงลูกทุ่ง เพราะเป็นเพลงของไทย (แต่ดูๆไปเครื่องดนตรีลูกทุ่ง ตั้งแต่กลองยันแซ็กโซโฟนนี่ของฝรั่งทั้งนั้นเลย! นี่มันมั่วนิ่มอ้างว่าเป็นของไทยหนิแบบนี้) ในที่สุด แอ๊ด คาราบาว ก็หลงรักเพลงร็อคยุค 60-80 เข้าเต็มๆ และได้รับอิทธิพลเดินตามรอยของกลุ่มฮิปปี้ บุบผาชนที่ไม่มีศาสนา เมากัญชาบ้าดนตรี! แอ๊ดร้องเพลงบอกว่า เรื่องของแร็พเป็นเรื่องคนดำ เรื่องของร็อคเป็นเรื่องคนขาว อยู่ตรงนี้มีแค่ไทยเรา กินข้าวเจ้าข้าวเหนียว (ไม่เคยซื้อฟัง แต่ได้ยินบ่อย) แต่ปรากฏว่าดนตรีที่แอ๊ดเล่นอยู่ มันก็เรียกว่าจังหวะร็อค! พื้นฐานเบสิคนักดนตรีในวง ก็มือร็อคทั้งนั้น! ก็ไม่ได้เห็นแอ๊ดเอาลำตัดมาเล่นซะเมื่อไหร่นี่นะ? แต่ถึงจะกินข้าวเจ้าและข้าวเหนียว แต่แอ๊ดกับพรรคพวกก็แต่งตัวแบบร็อคเกอร์ แล้วขี่ฮาเล่ย์ เดวิสสัน’! เออตลกดีเนอะ ตัวเองร้องเพลงด่าฝรั่งให้คนไทยฟัง แต่ชีวิตตัวเอง(รวมทั้งเพลงของตัว)ก็เอาของฝรั่งมาหมดเลย! นี่แหละถึงได้ว่าแอ็ดเป็นคนไร้จุดยืนและสับสนในตัวเอง
แล้วในทางศีลธรรมล่ะ แอ๊ดมีความสับสนไหม? มีสิ! ก็ไปยกย่องไอ้คนประเภทบัวลอย’ ว่าเป็นบัวหลุดพ้นแบบนี้แสดงว่ามาตรฐานแต่ละคนที่จะมาชี้วัดผิดถูกนี่ต่างกันละ คนเรานี่มันมองต่างกันจริงๆ บางคนบอกตายเพื่อเพื่อนหรือเพื่อแฟนนี่ยอดเยี่ยมเลย บอกคนบอกตายเพื่อชาตินี่ดีเลิศ ยิ่งตายเพื่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์นี่แจ๋วเลย! เช กูวารา ขวัญใจคอเพื่อชีวิต จับปืนทำสงครามกองโจร โอ๋ย!แจ๋วเลยคนแบบนี้! ส่วนไอ้พวกตายเพื่อศาสนานี่สิพวกบ้า!
บางคนบอก แหม้ ลูกสาวฉันดีจัง แต่งกายมิดชิด ไม่เคยมีหนุ่มๆมาแตะ แม้กระทั่งสายตา ส่วนอีกคนบอก ลูกสาวแกน่ะไม่ไหว ไร้อิสรภาพ ต้องดูอย่างลูกฉันนี่ เซ็กซี่ทำร้ายอารมณ์ชาย! คนโตฉันจะให้ถ่ายแบบ คนกลางฉันจะให้เป็นพริตตี้! ส่วนคนเล็กฉันจะให้เป็นโคโยตี้!” นี่แหละ มาตรฐานของศีลธรรมมนุษย์มันช่างต่างกันจริงๆ
เรื่องค่านิยม แอ๊ดนั้นได้รับจากตะวันตกมาเต็มๆ(ถึงแม้ปากบอกปฏิเสธ) แล้วที่นี้เรื่องศาสนาเรื่องความเชื่อล่ะ มันมีเรื่องของแนวคิดคอมมิวนิสต์ไร้ศาสนา หรือพวกฮิปปี้มามั่งไหม? ใจหนึ่งก็เชื่อเรื่องบาปเรื่องกรรม เรื่องภพนี้ภพหน้า ทั้งที่บ้านและโรงเรียนก็มีสอน แต่พอเรียนหนังสือ ทั้งวิชาสังคมและวิชาวิทยาศาสตร์ มันดันบอกว่ามนุษย์มาจากลิง! ตายแล้วจบสิ้นวิญญาณไม่มี! เอาแล้วสิ ทีนี้จะเชื่ออันไหนดีล่ะ? ก็เลยต้องใช้วิธีผสม (คนไทยยุคปัจจุบันเป็นลูกผสมโดยไม่รู้ตัว) ก็เอาความเชื่อท้องถิ่นแบบไทยๆ ประยุกต์ผสมเขย่าขวดเข้ากันกับแนวคิดวัตถุนิยม(ไม่เชื่อเรื่องจิต) เอ! มันไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว! เดี๋ยวนี้สิ ลองถามชาวพุทธ มนุษย์มาจากไหน?” มาจากลิง!” แล้ววิวัฒนาการมานานแค่ไหน?” โอ้ย ก็หลายล้านปี!” เอ้าแล้วเรื่องพระพุทธเจ้า 28 องค์ล่ะจะว่ายังไงจะเป็นลิงหรือคนดีมาดูกัน ผมจะยกตัวอย่างคุณลักษณะบางองค์ 
องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร  ผู้กล้าหาญ ประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระวรกายสูง 18 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี
องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร – ผู้มียศใหญ่  ประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระวรกายสูง 18 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร – ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง ประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระวรกายสูง 80 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี อายุพระศาสนา 100,000 ปี
องค์สมเด็จพระพุทธพระสุมังคละ – ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ ประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระวรกายสูง 80 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
องค์สมเด็จพระพุทธปิยทัสสี – ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน ประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระวรกายสูง 80 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
องค์สมเด็จพระพุทธเวสสภู – ผู้ประทานความสุข ประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระวรกายสูง 60 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี
องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ ประสูติในตระกูลพราหมณ์ พระวรกายสูง 20 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี
องค์สมเด็จพระพุทธโคตมะ – ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช (ปัจจุบัน) ประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระวรกายสูง 16 ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 ปี อายุพระศาสนา 5,000 ปี

(หนังสือ หลวงปู่สอนหลาน)

เอ! อ่านดูแล้วเข้าใจว่าก็เป็นมนุษย์นี่นะ และยังมาจากตระกูลกษัตริย์และพราหมณ์ด้วย  แล้วก็รูปร่างสูงซะด้วย ไม่มีวี่แววว่าจะมาจากลิงเลย? อีกทั้งตามหลักแล้ว พระพุทธเจ้าแต่ละองค์นี่จะทิ้งช่วงเวลาห่างกันหลายกัปด้วย แล้วตกลงอันไหนเท็จล่ะ?ระหว่างศาสนากับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
นี่แหละ เพราะไปเอาแนวคิดของลัทธิที่ไม่เชื่อในจิตวิญญาณ เอามาผสมกับศาสนาของตน แล้วไม่คิดหรือว่า ถ้าวันหนึ่งทฤษฎีมันล่มขึ้นมา ศาสนาที่เอาไปผสมกับของเขาน่ะไม่เจ๊งไปด้วยหรือ? ก็ดูอย่างทุกวันนี้นับตั้งแต่มีการค้นพบ DNA เมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว ทฤษฎีวัฒนาการก็เริ่มชักจะดับเอาๆ (ตอนนี้อยู่ในอาการสีข้างถูไปวันๆ)
แล้วเป็นไง? ทางสุดท้าย พอไปไหนไม่ได้ ก็อ้างกาลามสูตร  1.) มา อนุสสเวนะ อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา 2.) มา ปรัมปายะ อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบๆ กันมา 3.) มา อิติกิรายะ อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ 4.) มา ปิฏกสัมปทาเนนะ อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา 5.) มา ตักกเหตุ อย่าได้เชื่อถือ โดยเดาเอาเอง 6.) มา นยเหตุ อย่าได้เชื่อถือ โดยคาดคะเน 7.) มา อาการปริวิตักเกนะ อย่าได้เชื่อถือ โดยความตรึกตามอาการ 8.) มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าได้เชื่อถือ โดยชอบใจว่าต้องกับทิฐิของตัว 9.) มา ภุพพรูปตายะ อย่าได้เชื่อถือ โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ 10.) มา สมโณ โน ครูติ อย่าได้เชื่อถือว่าสมณะนี้คือครูของเรา
เป็นสูตรไม้ตาย ที่หลายคนจะไว้อ้างว่านี่ไงล่ะ ฉันไม่ยึดติดอะไรเลย! อืม! ตกลง ไม่ยึดครูใช่ไหม?” ใช่ ไม่ยึดตำราใช่ไหม?” ใช่” “อืม แล้วกาลามสูตรล่ะ มาจากไหน?” “มาจากตำรา”! อ้าว!?เอาแล้วสิ “แล้วยึดกาลามสูตรไหม?” “ยึดสิ”! อ้าว!?ไหนว่าไม่ยึดติดอะไร?  
ที่ยกมาอ้างข้างต้น ไม่ใช่คิดว่านายแอ๊ดรู้หรือมีความคิดแบบนั้นหรอกนะ เพียงแต่แอ๊ดได้รับอิทธิพลต่างๆจากที่กล่าวมาข้างต้นมานั่นเอง ถึงได้ทำให้มีความคิด และมีคำกล่าวพล่อยๆไม่ระวังคำพูดดังที่ให้สัมภาษณ์มา
นี่แหละคือ แนวคิด, ลัทธิ, ความเชื่อ, ปรัชญา ทั้งหมดที่มารวมผสมกันมั่วซั่วอยู่ในตัวของแอ๊ด คาราบาว ก็เลยทำให้แอ๊ดเป็นคนไร้จุดยืนแบบนี้นั่นเอง
……
แล้วมุสลิมเราล่ะ จะเอาอย่างเขาไหม? ไม่เอา! เราต้องมั่นคงสิ! อนุรักษ์นิยมเราไม่เอา ชาตินิยมเราไม่เอา อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยเราก็ไม่เอา วัฒนธรรมตะวันตกเราก็ไม่เอา! แล้วเราเอาอะไรล่ะ? เราก็เอาจุดยืนที่มั่นคงบนหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งประจักษ์แก่เราแล้วว่าเป็นความจริง!


โดยกลุ่ม แนวหน้า (อัซซาบิกูน)
ผู้รับผิดชอบบทความนี้

48 ความคิดเห็น:

  1. ขอยกย่องบทความ วิจารณ์ นี้อย่างจริงใจ เพราะเต็มไปด้วย เหตุและผล เป็นอย่างยิ่ง (ทีนี้ ก็คงจะสว่างกันซะทีน่ะ) :D

    ตอบลบ
  2. สุดยอด...มีความรู้รอบตัว...ไม่เหมือนพวกสมองกรวงแล้วยังอวดฉลาด

    ตอบลบ
  3. ขอชื่นชมและยกย่องทางทีมงาน ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนในความดีงามของพี่น้องครับ

    ตอบลบ
  4. นรกแล้วไอแอ็ด คาราบาวเอ้ยย

    ตอบลบ
  5. นีและความจิงที่ไม่ตาย ที่มีทั้งเหตุและผล มี่แหล่งอางอิงที่ชัดเจน

    ตอบลบ
  6. เล่นกับคัยมั่ยเล่น เล่นกับอัลลออฮพวกกู ดูซิ อัลลออฮส่งนักรบนํามา ตาสว่างได้แล้ว

    ตอบลบ
  7. ปลาหมอตายเพราะปากแท้-แท้

    ตอบลบ
  8. ความคิดบ้าๆๆๆเเบบนี้เเหละ
    เเล้วมาบอกว่า เป็นคนดี
    คนเเบบนี้หรา ไม่มีที่น่าเคารพสักนิดหนึ่ง ไอ้สมองควาย
    สมเเล้วเป็นหัวหน้าควาย

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณมากสำหรับกลุ่มแนวหน้า(อัซซาบีกูน)และทีมงานที่โต้ตอบและเขียนมีทังเหตุและผล ไอ้แอ้ดได้อ่านคงสำนึกได้ว่ามันโง่แต่อวดฉลาด

    ตอบลบ
  10. เหอะ เหอะ เหอะ ไอ้แอ้ดเอ้ยสมองรอยหยักน้อยยังอวดเก่ง รอยหยักตื้นๆอย่างแอ้ดเหมาะสมกับคาราบาวแล้ว(ควาย)

    ตอบลบ
  11. ผมสงสัยว่าทำไมพวกขี้ยา จึงชอบ แอ๊ด คาราบาว

    ตอบลบ
  12. ไอ้ควาย....

    ตอบลบ
  13. พวกเราต้องค่อยๆตอบโต้นะ ใจเย็นๆแบบผู้ที่เขียนเหตุผลนี้ขึ้นมาแบบนี้แหละนะพี่น้อง ตอบโต้ด้วยเหตุผล ตอบโต้แบบผู้ที่สุงส่งกว่า ให้ชาวโลกเค้าได้รุ้ว่าเราเป็นผู้มีวัฒนธรรม ไม่ดูหมิ่นใครก่อน...Xavi

    ตอบลบ
  14. very good ถ้าไม่รู้อะไรจริงอย่าไปเที่ยววิจารณืหรือคาดคะเนศาสนาอื่นเหมือนที่หัวหน้าวงกระบือทำ ที่นี้หละเจอคนจริงรู้จริงแล้วจะอ้าปากเถียงไม่ออก เพราะตกหลุมอากาศ

    ตอบลบ
  15. หัวหน้าควาย(คาราบาว)

    ตอบลบ
  16. ไอ้บ้านี่ อยากดัง
    มึงอย่างลงมาสามจังหวัดนี้น่ะ กูเชือด มึงแน่

    ตอบลบ
  17. ศาสนาใคร...ศาสนามัน ไม่เบียดเบียนกัล จะดีกว่าน้ะ...

    ตอบลบ
  18. ไม่เห็น=ไม่มี แล้วคุนเคยเห็นสมองของตัวเองไหม ไม่เห็นแสดงว่า
    'ไม่มีสมอง'

    ตอบลบ
  19. ใช่ เห็นด้วยกับความคิดเห็นวันที่ 16 ศาสนาใคร ศาสนามัน
    ถ้าไม่รู้จริงก็อย่าไปพูดเลย เดียวชีวิตจะไม่มีความสุข
    จะโดนเขาด่าอีก

    ตอบลบ
  20. แม่งเลย แอ๊ดมึง มึงปันเองใหว้เองของมึง

    ตอบลบ
  21. เพราะแอ๊ดหล่ะ น้ำถึงท่วมกรุง สำนึกหรือปล่าวล่ะ

    ตอบลบ
  22. นี้หรอความคิดของคนดัง คิดได้ไงทุเรดว่ะ มึงยูไม่สุขแน่ เชื่อกู

    ตอบลบ
  23. อย่างนี้และ ภาคกลางจึงประสบอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่
    แอ็ดอยู่ไม่มีสุขแน่นอน พวกเราจะต้องกำจัดมัน

    ตอบลบ
  24. นาย แอ๊ดลาไป บวชไดัแล้ว ศึกษาเรืองจริง นะจ๊ะแอ๊ด

    ตอบลบ
  25. น่าสงสารควายจริงๆ โดนคนด่าเอ๊าด่าเอา

    ตอบลบ
  26. ไม่สร้างความเสื่อมเสียให้ศาสนาเรา หน้าที่เราคือสร้างความกระจ่างให้ประชาชาติทั้งหมดที่เกิดในยุคท่านนบีมูฮัมหมัด(ซล.)ทั้งหมดไงครับพี่น้อง
    "we all are proxy of Allah"
    และช่วยกันดุอาให้ประชาชาติของเราเป็นที่ยอมรับในหน้าแผนดินให้จงได้เลย ช่วยกันครับ ช่วยกันขอดุอา นอกจากที่ขอให้เพื่อตนเองแล้ว...Xavi

    ตอบลบ
  27. และแล้วก็ได้รู้ความจริง ว่าทำไมถึงใช่ชื่อวงว่าคาราบาว

    ตอบลบ
  28. อยู่มานับ10ปี เพิ่งรู้ซึ้งถึงความหมาย ว่าคาราบาวของแท้

    ตอบลบ
  29. ทุกศาสนาสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ แต่ในเมื่อคุณมาดูถูกศาสนาของคนอื่นอย่างนี้มันสมควรทึ่จะอยู่ไหมละ แล้วคุณจารู้สึกว่านรกมันมีจิง

    ตอบลบ
  30. อิสลามไม่เคยระรานใคร... แต่ทำไม? ใครๆ ที่เราไม่ระรานต้องมาระรานเรา?

    ตอบลบ
  31. ก่อนหน้านี้ผมเองก็ชอบนะ "คาราบาว" (เพลง) แต่หลังจากที่เจออย่างนี้ ก็คงพิจารณาจนถึงกระทั่งไม่ติดตามเลย หรือ ไม่ชอบอีกต่อไป

    ตอบลบ
  32. ไม่ระบุชื่อ5 ธันวาคม 2554 เวลา 07:43

    ไอ้แอ๊ดร้องเพลงว่า พวกสิ่งเสพติดมันไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นกัญชา ทินเนอร์ เหล้าเป็นต้น แต่ไอ้ตัวมันน่ะ เลิกไม่ได้สักอย่าง ก่อนขึ้นคอนเสริตร์ก็แดกกัญชาทุกครั้ง เหอะๆๆๆ นี่แหละน่ะคนเรา อยากให้ไอ้แอดตายเร็วๆๆน่ะ จะได้รู้ว่านรก สวรรค์มีจริง

    ตอบลบ
  33. ไม่ระบุชื่อ5 ธันวาคม 2554 เวลา 11:29

    อย่าไปด่าเขาแหละให้เขาตายของเขาเองอีกไม่นานหรอก ตับแข็ง

    ตอบลบ
  34. ไม่ระบุชื่อ12 ธันวาคม 2554 เวลา 14:45

    นี้แหละสัตร์พูดแบบไม่คิดสัตร์ สัตร์ สัตร์ สมควรแล้วที่ตั้งวงควาย

    ตอบลบ
  35. ไม่ระบุชื่อ12 ธันวาคม 2554 เวลา 14:47

    นาแต......แอ๊ด

    ตอบลบ
  36. ไม่ระบุชื่อ12 ธันวาคม 2554 เวลา 20:44

    ถ้าไม่รู้จริงอย่าเสือกรู็...แอ๊ดหน้าแหกหมอไม่รับเย็บอะอายเขาปล่าว ๆ

    ตอบลบ
  37. ไม่ระบุชื่อ12 ธันวาคม 2554 เวลา 20:47

    แอ๊ด เอาเวลาไปศึกษาพระธรรมให้มาก ๆ นะ เพื่อจะได้มีดวงตาเห็นธรรมไม่ใช่เห็น กัญชา อย่างเดียว

    ตอบลบ
  38. ไม่ระบุชื่อ16 ธันวาคม 2554 เวลา 17:11

    เป็นเรื่องของ"บุคคล"
    อย่าเหมารวมทั้งวง..

    ใช้สติให้มากๆ
    อย่าใช้แค่"อารมณ์"

    เรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว
    เขาก็ออกมาขอโทษแล้ว
    อย่าให้มันเป็นเรื่องอีกเลย

    เอาเวลามาพัฒนาตัวเอง
    พัฒนาแผ่นดินที่เหยียบอยู่จะดีไหม..

    ตอบลบ
  39. ไม่ระบุชื่อ16 ธันวาคม 2554 เวลา 17:28

    อ่านซะ..
    เรื่องเกิดขึ้นเป็นชาติแล้ว
    ยังจะเอามารื้อฟื้น.. เพื่ออะไรหรือ???

    http://www.halalthailand.com/main/content.php?page=content&category=&subcategory=1&id=146

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. โพสต์ตอบโต้นี้ก็มีนานแล้วเหมือนกัน........ ที่คงไว้ไม่ได้มีการลบ ก็เพื่อต้องการเตือนใจพวกเรามุสลิมด้วยกันแค่นั้นเอง ว่าเราจงทำตัวให้อยู่ตามร่องตามรอยคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าได้หลงลืมคำสัญญาต่อผู้ที่ได้สร้างพวกเราก่อนที่พวกเราจะได้จุติ ณ บนโลกดุนยาฮฺแห่งนี้...... มิฉะนั้นพวกเราจะถูกดูหมิ่นดูแคลน และเป็นสาเหตุให้ศาสนาต้องหม่นหมองอย่าที่เป็น



      ..............

      ลบ
    2. ถ้าทุกคนใช้สติในการคิด ในการแสดงออก ปัญหาทุกอย่างก็ไม่มีทางเกิด เรื่องอื่นไม่ได้ละเอียดอ่อนหรือไวต่อความรู้สึกนึกคิดของคนได้มากเท่ากับเรื่องศาสนา-ความเชื่อของคนเรานะครับ เพราะฉะนั้น ...ทำ-เชื่อ-ศึกษา-ปฏิบัติ อย่างเคร่งครัดของแต่ละคนให้ดีที่สุดดีกว่าครับ "ล่ากุม ดีนุกุม วะดีอย่าดีน" ศาสนาของแต่ละคนก็ต่างคนต่างทำ อย่าได้ยุ่งเกี่ยวต่อกัน (เพราะฉะนั้นจงเร่งทำ-ศึกษา-ค้นคว้า-และเชื่อ-ปฏิบัติในสิ่งที่ได้ศึกษาอย่างเคร่งครัด) ครับผม

      ลบ
  40. ไม่ระบุชื่อ17 ธันวาคม 2554 เวลา 00:00

    ไอแอ๊ด มันเป้นควายอยู่แล้ว

    ตอบลบ
  41. ไม่ระบุชื่อ26 เมษายน 2555 เวลา 08:20

    ทุกวันนี้สัญญาณวันกิยามะฮฺ ได้ปรากฎให้เราได้เห็นกันมากขึ้น บ่อยขึ้น และชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่พี่น้องมุสลิมของเราบางกลุ่มยังหลงอยู่บนเส้นทางแห่งความโกรดกริ้ว เส้นทางที่อัลลอฮฺไม่โปรดปรานเป็นจำนวนมากเหลือเกิน

    ตอบลบ
  42. ไม่ระบุชื่อ25 พฤษภาคม 2555 เวลา 23:10

    โต้ได้ดีมากเลย จากนี้แอดคงไม่มีเวลาทำเพลงแล้ว คงยุ่งอยู่กับหนังสือเพราะต้องเรียนอีกเยอะ

    ตอบลบ
  43. โพสต์นี้มีขึ้นเพื่อ
    1.ตอบโต้คนกระทำผิด ณ วันที่เขาได้กระทำ (ซึ่งนานมาแล้ว)
    2.เป็นอุธาหรณ์เตือนใจพี่น้องมุสลิมเรา...ว่าจง....อย่าหลงระเริงลืมตัวกับโลกดุนยาฮฺ โลกแห่งความไม่จีรังยั้งยืนใบนี้ จงเร่งปฏิบัติตามคำสั่งใช้และหลีกห่างจากคำสั่งห้ามอย่างเคร่งครัดอย่าได้กระทำในสิ่งที่นำไปสู่การเป็นที่ดูหมิ่น ติฉิน นินทาจากคนต่างศาสนิกให้ศาสนาของพระองค์ได้เสื่อมโทรมเลย................

    ตอบลบ
  44. ไม่ระบุชื่อ4 กรกฎาคม 2556 เวลา 15:12

    มันจะรู้ อะไร มันไม่ได้มีศาสนาที อยู่เพื่อมั่วไปวันๆ รอตอยความตายอย่างเดียว

    ตอบลบ
  45. แอดใช้ตาเปล่ามองไม่เห็น เชื้อโรค ต้องใช้ กล้องขยาย ศาสนา ต้องใช้ สมอง มอง ถึงจะเห็นแอ๊ดแอด เหอ แอด กรรมของแอดแอด คาเบ้า

    ตอบลบ