วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

"โยมมุสลิม นั่นศาสนาอาตมา" ทำบุญในวันขึ้นปีใหม่

ศาสนาพุทธ
                เมื่อใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนจะพากันเก็บกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับไฟ และธงชาติตามสถานที่สำคัญๆ
                ครั้นถึงวันที่
31 ธันวาคม ก็จะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ไปวัดเพื่อประกอบกิจกุศลต่างๆ เช่น ฟังพระธรรมเทศนา ถือศีลปฏิบัติธรรมแต่บางคนก็แค่ทำบุญตักบาตร
                ตอนกลางคืนบางแห่งอาจจัดเทศกาลกินเลี้ยงเป็นที่ครื้นเครงสนุกสนาน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
                เช้าวันที่
1 มกราคม จะมีการทำบุญตักบาตร ไปท่องเที่ยวหรือเยี่ยมเยือนญาติผู้ใหญ่ผู้ที่เคารพนับถือ มีการมอบของขวัญและบัตรอวยพรให้แก่กัน
                สำหรับในต่างจังหวัด จะมีการทำบุญเลี้ยงพระที่วัด และอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ญาติที่ล่วงลับ กลางคืนมีการละเล่นพื้นบ้าน หรือจัดมหรสพมาฉลอง
                อนึ่ง ที่จริงวันที่
1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย มาตั้งแต่พุทธศักราช 2432 และเมื่อปี พ.ศ. 2484 ทางราชการก็ได้มีการประกาศเปลี่ยนแปลงให้เอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดาอารยประเทศ
ศาสนาอิสลาม
                ศาสนาอิสลามส่งเสริมให้รื่นเริง และเฉลิมฉลองเพียง
2 วันเท่านั้นในรอบปี ได้แก่ วันอีดิลอัฎหาและอีดิลฟิฏริ สองวันดังกล่าวศาสนาอนุญาตให้มุสลิมแสดงความรื่นเริง และสนุกสนานได้โดยความสนุกนั้นไม่ขัดกับหลักการของศาสนา ส่วนการจัดงานรื่นเริงในวันอื่นๆ นอกเหนือจากวันทั้งสองข้างต้น ไม่อนุญาตให้มุสลิมกระทำโดยเด็ดขาด อาทิเช่น จัดงานรื่นเริงตรงกับวันเกิดของตนเอง หรือ จัดงานรื่นเริงตรงกับวันรื่นเริงของประชาชาติอื่น เช่น จัดงานวันคริสต์มาส, จัดงานปีใหม่ เป็นต้น
                หากมุสลิมคนใดฝ่าฝืนจัดงานวันรื่นเริงอื่นจากวันทั้งสองที่ศาสนาอนุมัติให้จัด ก็เท่ากับว่า มุสลิมผู้นั้นได้เลียนแบบประชาชาติอื่นที่ไม่ใช่ประชาชาติมุสลิมเสียแล้ว ซึ่งท่านนบีมุหัมมัด ซล. กล่าวไว้ว่า “บุคคลใดที่เลียนแบบชนกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย”
ประเพณีท้องถิ่นนิยม
                ส่วนกรณีมุสลิมบางกลุ่ม หรือบางท้องถิ่นเข้าใจผิดว่า ศาสนาอิสลามมีการจัดงานวันปีใหม่เหมือนกับประชาชาติอื่นด้วย จึงพยายามประดิษฐ์คิดค้นพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมาแล้วก็อ้างว่านี่เป็นเรื่องของศาสนา บางท้องถิ่นถึงกับจัดเป็นงานประจำปีที่ขาดไม่ได้เลยก็มีให้เห็น ที่พวกเขาจัดงานวันปีใหม่อิสลามซึ่งตรงกับวันที่
1 มุหัรฺร็อม ของทุกปีนั้นพวกเขาอ้างว่า วันที่ 1 เดือนมุหัรฺร็อม เป็นวันแรก ของการเริ่มศักราชใหม่ ตามประวัติศาสตร์ ถือเป็นวันที่ท่านนบีมุหัมมัด ซล. ลี้ภัยจากนครมักกะฮฺ ไปสู่นครมะดีนะฮฺ เมื่อวันนี้ได้เวียนมาบรรจบ มุสลิมจึงรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เพื่อมิให้การรำลึกภาพเหตุการณ์สำคัญในวันนั้น เป็นการสูญเปล่า ก็ประกอบกิจกรรมกุศล เช่น การอ่านคัมภีร์อัลกุรฺอาน การเอ่ยคำสดุดีสรรเสริญต่อท่านนบี ตลอดจน ขอพรเสริมภาคปฏิบัติเสริมให้เกิดสิริมงคล (บะเราะกะฮฺ)
                ซึ่งภายหลังพวกเขาทำพิธีดังกล่าวข้างต้นเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะขอดุอาอ์ขึ้นปีใหม่อิสลาม โดยอ้างถึงผลสำหรับผู้ที่อ่านดุอาอ์บทดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งมีรายละเอียดดั่งนี้
                ดุอาปีใหม่ ควรอ่านในวันที่หนึ่งเดือนมุหั๊รร็อมทุก ๆ ปี ผลก็คือ อัลลอฮฺต้าอาลาจะทรงมอบหมายให้ม่าลาอิกะฮ์สองท่านไปเป็นบ๊อดดี้กาด์ เฝ้าดูแลระมัดระวังคนอ่านดุอาต้นนี้ให้พ้นจากการล่อลวงซัยตาน (ปีศาจมารร้ายสังคม) วัลลอฮุลมุศต้าอาน อัลลอฮฺทรงขอให้สงเคราะห์เสมอ ดุอานั้นมีคำอ่านดังนี้
                “อัลลอฮฺเจ้า พระองค์ท่านเท่านั้นทรงยืนยงตลอดกาล ทรงดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ ทรงแรกเริ่มก่อนสิ่งต่างๆ ทั้งหมดบนเกียรติคุณ เกียรติศักดิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน และบนการมีอันสมบูรณ์ครบถ้วนของพระองค์ท่าน”
                “วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ แท้จริงปีใหม่ได้มุ่งหวัง (คืบคลาน) มาสู่เราแล้ว เราได้วิงวอนขอความพิทักษ์คุ้มครองต่อพระองค์ในปีใหม่นี้ให้พ้นจากปีศาจมารร้ายสังคม บรรดาผู้บงการมารร้ายสังคม ตลอดจนบรรดาบริวารของปีศาจมารร้ายด้วย”
                “และวิงวอนขอความสงเคราะห์ให้พ้นจากชีวิตอารมณ์ที่ชอบบงการใช้ให้กระทำชั่ว กระทำสิ่งเลวร้าย และชอบทำให้เกิดความวุ่นวายจนไม่สามารถจะประพฤติดี ต่อพระองค์ได้ ทั้งๆ ที่การประพฤติดีประการเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นสื่อสารนำให้ใกล้ชิดต่อความสันติสุขที่พระองค์ท่าน โอ พระผู้ทรงเกียรติอันยิ่งใหญ่ และทรงเกียรติอันยกย่องยิ่ง โอ พระเจ้าผู้เมตตากรุณายิ่งกว่าบรรดาผู้เมตตากรุณาทั้งหลาย”
สิ่งที่ได้รับจากข้อเขียนข้างต้น
               
1. ตำราเล่มดังกล่าวระบุว่า บุคคลใดที่ขอดุอาอ์ในวันขึ้นปีใหม่อิสลาม ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มุหัรร๊อมของทุกปีนั้น พระองค์อัลลอฮฺจะส่งมลาอิกะฮฺจำนวนสองท่าน คอยเฝ้าและระมัดระวังไม่ใช้ชัยฏอน (มารร้าย) เข้ามาล่อลวงบุคคลที่อ่านดุอาอ์บทดังกล่าว ประเด็นคือหะดีษบทข้างต้นนำมาจากไหน? บันทึกหะดีษโดยใคร? เมื่อกลับไปตรวจสอบ ก็ไม่พบเลยว่า  จะมีหะดีษที่กล่าวอ้างเรื่องข้างต้น แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่อ้างมาข้างต้น อ้างขึ้นมาเอง ประดิษฐ์หะดีษขึ้นมาเองทั้งสิ้น หะดีษข้างต้นจึงเรียกว่าหะดีษเมาฎูอฺ (หะดีษเก๊) ห้ามนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงโดยเด็ดขาด
               
2. การอ้างในตำราเช่นนั้น เป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ศาสนาอย่างมหันต์ ในเมื่ออิสลามมีวันรื่นเริงเพียงสองวันเท่านั้น คือ วันอีดิลอัฏหา และวันอีดิลฟิฏริ ไม่มีวันอื่นนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว ดังหลักฐานจากท่านอนัส บุตรของมาลิกเล่าว่า
                “ปรากฎว่ากลุ่มชนญาฮิลียะฮฺ (กลุ่มชนที่อิสลามยังไม่อุบัติขึ้นแก่พวกเขา) สำหรับพวกเขา มีอยู่สองวันในทุกๆ ปีซึ่งเป็นวันที่พวกเขารื่นเริงสนุกสนาน ในสองวันดังกล่าว, ครั้นเมื่อท่านรสูลุลลอฮฺ ซล. เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านรสูล ซล. ก็กล่าวว่า สำหรับพวกท่าน มีวันรื่นเริงสนุกสนานอยู่สองวัน ทว่าพระองค์อัลลอฮฺ ทรงเปลี่ยนให้ดีกว่าวันทั้งสองดังกล่าว นั่นคือวันวันอีดิลฟิฎริ และวันอีดิลอัฎหา” (บันทึกโดยนะสาอีย์ หะดีษที่
1538)
                ดังนั้นตำราเล่มใด หรือบุคคลใดที่อ้างว่าให้ทำบุญวันขึ้นปีใหม่อิสลาม โดยมีพิธีกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องอ่านดุอาอ์แบบนั้นแบบนี้ล้วนอุตริกรรมขึ้นใหม่ในศาสนาอิสลาม (บิดอะฮฺ) ทั้งสิ้น วาญิบสำหรับมุสลิมทุกคนจะต้องออกห่างโดยเด็ดขาด
               
3. ช่วงทำบุญ และเฉลิมฉลองในวันขึ้นปีใหม่ ชาวพุทธเขาก็ตักบาตรทำบุญเลี้ยงพระ นั่นเป็นสิทธิของเขา เพราะเขาถือตามความเชื่อหรือตามประเพณีปฏิบัติของเขา ส่วนเราในฐานะมุสลิม เราไปเลียนแบบเขาไม่ได้โดยเด็ดขาด ซึ่งถ้าเราทำเหมือนเขา แล้วเรากับเขาจะต่างกันตรงไหน? หากว่า
                วันขึ้นปีใหม่สากล ชาวพุทธรื่นเริงสนุกสนาน ส่วนวันขึ้นปีใหม่อิสลาม มุสลิมก็จัดงานรื่นเริงสนุกสนาน
                วันขึ้นปีใหม่สากล ชาวพุทธเขาทำบุญเลี้ยงพระ ส่วนวันขึ้นปีใหม่อิสลาม มุสลิมทำบุญเลี้ยงโต๊ะละแบ
                วันขึ้นปีใหม่สากล ชาวพุทธตักบาตรให้พระ ส่วนวันขึ้นปีใหม่อิสลาม มุสลิมตักข้าวหมดใส่ถาดให้โต๊ะละแบ
                วันขึ้นปีใหม่สากล ชาวพุทธเชิญพระมาสวดภาษาบาลีสันสกฤตให้ศีลให้พร ส่วนวันขึ้นปีใหม่อิสลาม มุสลิมเชิญโต๊ะละแบมาอ่านดุอาอ์เป็นภาษาอฺรับให้มีความจำเริญ (บะเราะกะฮฺ)
                น่าเศร้า...สำหรับประชาชาติตัวอย่างที่ลดสถานะตนเองเหลือเพียงประชาชาติที่เดินตามก้นประชาชาติอื่นเท่านั้น

ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น