ศาสนาพุทธ
เมื่อตระเตรียมไม้และผู้คนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการทำพิธียกเสาเอก คือ เสาต้นด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าของบ้านจะต้องจัดเตรียมเครื่องบูชา ดังต่อไปนี้
เครื่องบูชาเสา
เมื่อขุดหลุม จะตั้งเสา ท่านให้เอาใบตอง 5 ใบ ใบราชพฤกษ์ 5 ใบต้นกล้วย 1 ต้นและเอาแต่ใบ 3 ใบ ต้นอ้อย 1 ต้น เอาผูกกับปลายเสาให้แน่น แล้วเอาข้าว 4 กระทง เทียน 8 เล่ม บายศรี 1 สำรับบูชาเสา แล้วยกเสาแรกลงหลุมให้ตรง ถ้าหากเอนไปทางทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ก็ยังนับว่าดี
ในวันที่จะยกเสา ให้เอาเสามาวางเรียงกัน จัดเครื่องบัตรพลีมาเซ่นไหว้พระภูมิเจ้าที่ แม่นางพระธรณี หาท่านผู้รู้มาทำน้ำมนต์ประพรมเสาและพื้นที่ จะมีการสวดมนต์เย็นด้วยก็ได้ ครั้นแล้วให้คนขุดหลุม ยกเสาวางบนขาหย่าง แล้วเอาหน่อกล้วยหน่ออ้อย (เครื่องผูกเสา) ผูกไว้กับเสาให้แน่น เจิมด้วยมูลโคประสมดินสอพองทาคอรอบรอบ
ครั้นวันยกเสา มีพิธีทำขวัญเสา ให้เอาพวงเงินพวงทองคล้องปลายเสา เสาเอก (หรือเรียกว่าเสาขวัญ) ประดับประดาเป็นพิเศษหุ้มห่อผ้าดีกว่าเสาอื่นๆ จุดเทียนชัยติดไว้ทุกต้น พร้อมทั้งจัดตั้งหม้อน้ำมนต์ แป้งน้ำหอมครั้นแล้วยกบายศรีออกมาจัดตั้งทำขวัญเสาต่อไป
เมื่อใกล้จะได้ฤกษ์ เจิมเสา ประพรมน้ำมนต์แล้วเอายันต์ปิดหัวเสา ช่วยกันประคองเสาเอาไว้ พอได้ฤกษ์ผู้เป็นประธานก็ลั่นฆ้องผู้ที่อยู่ในมณฑลนั้นพร้อมกันโห่ขึ้นสามลา ยกเสาเอกลงหลุม ตั้งให้ตรง
ต่อแต่นั้นจึงยกเสาโทต่อไป ข้อสำคัญ เสาเอกนั้นต้องยกลงหลุมให้ตรงกับฤกษ์เวลา
เมื่อตระเตรียมไม้และผู้คนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการทำพิธียกเสาเอก คือ เสาต้นด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าของบ้านจะต้องจัดเตรียมเครื่องบูชา ดังต่อไปนี้
เครื่องบูชาเสา
เมื่อขุดหลุม จะตั้งเสา ท่านให้เอาใบตอง 5 ใบ ใบราชพฤกษ์ 5 ใบต้นกล้วย 1 ต้นและเอาแต่ใบ 3 ใบ ต้นอ้อย 1 ต้น เอาผูกกับปลายเสาให้แน่น แล้วเอาข้าว 4 กระทง เทียน 8 เล่ม บายศรี 1 สำรับบูชาเสา แล้วยกเสาแรกลงหลุมให้ตรง ถ้าหากเอนไปทางทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ก็ยังนับว่าดี
ในวันที่จะยกเสา ให้เอาเสามาวางเรียงกัน จัดเครื่องบัตรพลีมาเซ่นไหว้พระภูมิเจ้าที่ แม่นางพระธรณี หาท่านผู้รู้มาทำน้ำมนต์ประพรมเสาและพื้นที่ จะมีการสวดมนต์เย็นด้วยก็ได้ ครั้นแล้วให้คนขุดหลุม ยกเสาวางบนขาหย่าง แล้วเอาหน่อกล้วยหน่ออ้อย (เครื่องผูกเสา) ผูกไว้กับเสาให้แน่น เจิมด้วยมูลโคประสมดินสอพองทาคอรอบรอบ
ครั้นวันยกเสา มีพิธีทำขวัญเสา ให้เอาพวงเงินพวงทองคล้องปลายเสา เสาเอก (หรือเรียกว่าเสาขวัญ) ประดับประดาเป็นพิเศษหุ้มห่อผ้าดีกว่าเสาอื่นๆ จุดเทียนชัยติดไว้ทุกต้น พร้อมทั้งจัดตั้งหม้อน้ำมนต์ แป้งน้ำหอมครั้นแล้วยกบายศรีออกมาจัดตั้งทำขวัญเสาต่อไป
เมื่อใกล้จะได้ฤกษ์ เจิมเสา ประพรมน้ำมนต์แล้วเอายันต์ปิดหัวเสา ช่วยกันประคองเสาเอาไว้ พอได้ฤกษ์ผู้เป็นประธานก็ลั่นฆ้องผู้ที่อยู่ในมณฑลนั้นพร้อมกันโห่ขึ้นสามลา ยกเสาเอกลงหลุม ตั้งให้ตรง
ต่อแต่นั้นจึงยกเสาโทต่อไป ข้อสำคัญ เสาเอกนั้นต้องยกลงหลุมให้ตรงกับฤกษ์เวลา
ศาสนาอิสลาม
หากจะแบ่งเรื่องใหญ่ๆ ของอิสลามคงหลีกไม่กล่าวถึงเรื่องอะกีดะฮฺ (หลักการศรัทธา) และเรื่องอิบาดะฮฺ (หลักการปฏิบัติ) คงไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องอะกีดะฮฺถือว่าเป็นพื้นฐานหลักที่มุสลิมทุกคนต้องรับรู้ จากนั้นจึงนำไปสู่ภาคปฏิบัติต่อไป
ด้วยการศรัทธาอันมั่นคงนี่เอง ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของมุสลิม ขอย้ำว่าวิถีของมุสลิมทั้งหมด ฉะนั้นหลักความเชื่อใดที่ไม่ใช่อิสลาม หลักความเชื่อนั้นจำเป็นที่มุสลิมจะต้องละทิ้งไปโดยเด็ดขาดห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งเรื่องที่มุสลิมจะปลูกบ้านใหม่ หลักการศาสนาไม่เคยสอนให้มุสลิมเริ่มต้นวางเสาเข็ม หรือว่างเสาเอก โดยมีความเชื่อหรือพิธีกรรมใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเลยทั้งสิ้น
การเริ่มต้นทำสิ่งใดก็ตาม ท่านนบีสอนให้เราเริ่มต้นกล่าวนามของอัลลอฮฺ ฉะนั้นหากเราจะเริ่มตอกเสาเข็มลงหลุมก็ให้เรากล่าวว่า “บิสมิลลาฮฺ (ด้วยนามของพระองค์อัลลอฮฺ)” แค่นั้นถือว่าเพียงพอแล้วอีกทั้งไม่ต้องมีความเชื่อใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องวางเสาเอกในช่วงเวลาเก้าโมงเก้านาที หรือไม่มีพิธีกรรมใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การเชิญโต๊ะอิมามโต๊ะละแบมาทำพิธีกรรมโดยมีการอ่านดุอาอ์หรืออ่านอัลกุรฺอานหรือทำพิธีกรรมอะไรก็ช่าง ล้วนไม่มีในอิสลามเลยทั้งสิ้น
โปรดอย่าลืมว่า อิสลามเป็นศาสนาของพระองค์อัลลอฮฺ โดยผ่านมากับท่านรสูลุลลอฮฺ ซล. ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นอิสลาม ท่านรสูลไม่ลืมที่จะบอก หรือแจ้งกับประชาชาติของท่านให้ได้รับรู้ ดังนั้นหากเรื่องการยกเสาเอกสาโทมีความเชื่อ หรือพิธีกรรมศาสนาอิสลามเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วไซร้ หน้าที่ของท่านรสูลต้องบอกและแจ้งให้พวกเราทราบอยู่แล้ว แต่ทว่านัยความเป็นจริง สิ่งข้างต้นไม่ถูกพูดไม่ถูกนำเสนอ หรือถูกชี้แจงจากท่านรสูล ซล. แม้แต่น้อย
ส่วนพิธีกรรม ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการวางเสาเอกเสาโทจะเป็นความเชื่อของศาสนาใดนั้น นั่นเป็นสิทธิ์ของพวกเขาที่จะเชื่อและศรัทธา ส่วนมุสลิมก็ต้องแสดงจุดยืนโดยไม่นำความเชื่อ หรือพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาปฏิบัติหรือนำมาดัดแปลงแล้วก็อ้างว่านั่นเป็นพิธีกรรมของอิสลามด้วย
หากจะแบ่งเรื่องใหญ่ๆ ของอิสลามคงหลีกไม่กล่าวถึงเรื่องอะกีดะฮฺ (หลักการศรัทธา) และเรื่องอิบาดะฮฺ (หลักการปฏิบัติ) คงไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องอะกีดะฮฺถือว่าเป็นพื้นฐานหลักที่มุสลิมทุกคนต้องรับรู้ จากนั้นจึงนำไปสู่ภาคปฏิบัติต่อไป
ด้วยการศรัทธาอันมั่นคงนี่เอง ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของมุสลิม ขอย้ำว่าวิถีของมุสลิมทั้งหมด ฉะนั้นหลักความเชื่อใดที่ไม่ใช่อิสลาม หลักความเชื่อนั้นจำเป็นที่มุสลิมจะต้องละทิ้งไปโดยเด็ดขาดห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งเรื่องที่มุสลิมจะปลูกบ้านใหม่ หลักการศาสนาไม่เคยสอนให้มุสลิมเริ่มต้นวางเสาเข็ม หรือว่างเสาเอก โดยมีความเชื่อหรือพิธีกรรมใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเลยทั้งสิ้น
การเริ่มต้นทำสิ่งใดก็ตาม ท่านนบีสอนให้เราเริ่มต้นกล่าวนามของอัลลอฮฺ ฉะนั้นหากเราจะเริ่มตอกเสาเข็มลงหลุมก็ให้เรากล่าวว่า “บิสมิลลาฮฺ (ด้วยนามของพระองค์อัลลอฮฺ)” แค่นั้นถือว่าเพียงพอแล้วอีกทั้งไม่ต้องมีความเชื่อใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องวางเสาเอกในช่วงเวลาเก้าโมงเก้านาที หรือไม่มีพิธีกรรมใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การเชิญโต๊ะอิมามโต๊ะละแบมาทำพิธีกรรมโดยมีการอ่านดุอาอ์หรืออ่านอัลกุรฺอานหรือทำพิธีกรรมอะไรก็ช่าง ล้วนไม่มีในอิสลามเลยทั้งสิ้น
โปรดอย่าลืมว่า อิสลามเป็นศาสนาของพระองค์อัลลอฮฺ โดยผ่านมากับท่านรสูลุลลอฮฺ ซล. ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นอิสลาม ท่านรสูลไม่ลืมที่จะบอก หรือแจ้งกับประชาชาติของท่านให้ได้รับรู้ ดังนั้นหากเรื่องการยกเสาเอกสาโทมีความเชื่อ หรือพิธีกรรมศาสนาอิสลามเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วไซร้ หน้าที่ของท่านรสูลต้องบอกและแจ้งให้พวกเราทราบอยู่แล้ว แต่ทว่านัยความเป็นจริง สิ่งข้างต้นไม่ถูกพูดไม่ถูกนำเสนอ หรือถูกชี้แจงจากท่านรสูล ซล. แม้แต่น้อย
ส่วนพิธีกรรม ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการวางเสาเอกเสาโทจะเป็นความเชื่อของศาสนาใดนั้น นั่นเป็นสิทธิ์ของพวกเขาที่จะเชื่อและศรัทธา ส่วนมุสลิมก็ต้องแสดงจุดยืนโดยไม่นำความเชื่อ หรือพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาปฏิบัติหรือนำมาดัดแปลงแล้วก็อ้างว่านั่นเป็นพิธีกรรมของอิสลามด้วย
ประเพณีท้องถิ่นนิยม
ส่วนมุสลิมบางกลุ่ม บางท้องถิ่นก็มักนำความเชื่อ และภาคปฏิบัติของศาสนาอื่นๆ มาปฏิบัติผสมกับวิถีของมุสลิมอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งการวางเสาเอกเสาโทเพื่อปลูกบ้านใหม่
มุสลิมบางกลุ่มบางคนก่อนวางเสาเอกลงหลุม ก็เชือดแพะแล้วโยนลงหลุมจากนั้นก็ยกเสาเอกลงหลุมตามทีหลัง โดยให้เหตุผลว่าหากเรื่องอะไรไม่ดีเข้าบ้าน แพะก็จะรับบาปไปโดยปริยาย
มุสลิมบางกลุ่มบางคนก็นำใบกล้วย หรือต้นกล้วยผูกไว้ที่เสาเอก เสมือนหนึ่งความเชื่อของชาวพุทธ จากนั้นก็เชิญโต๊ะอิมามโต๊ะละแบมาอ่านดุอาอ์ หรืออ่านอัลกุรฺอาน เพื่อทำพิธีกรรมเชิญเสาเอกเสาโทลงหลุม ทั้งนี้โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อเป็นสิริมงคล (บะเราะกะฮฺ) ในการสร้างบ้านหลังใหม่ โดยบางทีโต๊ะละแบเหล่านั้นก็จะอ่านดุอาอ์ขณะหย่อนเสาเอกลงหลุมว่า
“โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงประทานความจำเริญมายังเรา และมายังบ้านหลังนี้ (ของเรา) ด้วยเถิด”
จากนั้นเจ้าภาพก็จะเลี้ยงอาหารแก่โต๊ะละแบและแขกเหรื่อในลำดับต่อไป
จักเห็นได้ว่า มุสลิมที่กระทำแบบนั้น ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนัยความจริงอิสลามไม่มีความเชื่อ และพิธีกรรมใดเลยขณะจะปลูกบ้านใหม่ หรือแม้กระทั่งการลงเสาเข็ม หรือเสาเอกเสาโท ทว่ามุสลิมบางกลุ่มบางคนกลับไม่ยึดหลักการอิสลามอันบริสุทธิ์และสูงส่งมาปฏิบัติอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม แต่กลับไปนำความเชื่อของศาสนาอื่น นำพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาผสมปนเปกับวิถีของมุสลิมอย่างน่าอับอายที่สุด
การที่มุสลิมไปนำความเชื่อ หรือพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาปฏิบัติแม้ว่าจะไม่ทั้งหมดก็ตาม เท่ากับว่ามุสลิมผู้นั้นกำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่า เขาไม่ค่อยพอใจต่อคำสอนของอิสลามสักเท่าใดซึ่งมีพิธีกรรมทางศาสนาน้อยไปหน่อย หรือดูเหมือนว่าอิสลามไม่ค่อยมีพิธีกรรมอะไรที่เข้าสังคมอื่นได้ ไม่ค่อยเป็นสากล หรือไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของสังคมอื่นๆ เขาจึงต้องประดิษฐ์ หรือผสมผสานพิธีกรรม ความเชื่อของศาสนาอื่นมาปะปนแล้วอุตริขึ้นใหม่เพื่อทำให้เข้ากับสังคมอื่นได้ และเพื่อจะทำให้ศาสนิกอื่นเห็นว่า มุสลิมก็สามารถร่วมพิธีกรรม หรือกิจกรรมทางศาสนากับต่างศาสนิกได้ เป็นความสมานฉันท์ที่ลงตัว และอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่แปลกแยก
นั่นคือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ หากมุสลิมคนใดเข้าใจแบบนั้น อิสลามระบุชัดเจนว่า ศาสนาของใครเขาก็ปฏิบัติตามความเชื่อนั้น ส่วนมุสลิมก็ปฏิบัติไปตามความศรัทธาของมุสลิม นี่แหละคือความสมานฉันท์ เพราะความสมานฉันท์คือ ต่างคนต่างความเชื่อ ก็ให้ต่างคนต่างปฏิบัติไปตามความเชื่อของตนเอง โดยไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันต่างหาก
ฉะนั้นเมื่อได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม จำเป็นจักต้องปฏิบัติไปตามสิ่งที่ศาสนากำชับใช้เอาไว้เท่านั้น ซึ่งศาสนาไม่อนุญาตให้มุสลิมละทิ้ง หรือต่อเติมคำสอนของศาสนา และไม่อนุญาตเช่นกันที่จะไปยึดคำสอนของศาสนาอื่นมาปฏิบัติ, ไปยึดความเชื่อของศาสนาอื่นมาถือเชื่อ แม้ว่าความเชื่อ หรือการปฏิบัติตามศาสนาอื่นนั้นจะน้อยนิดสักปานใดก็ตาม
ส่วนมุสลิมบางกลุ่ม บางท้องถิ่นก็มักนำความเชื่อ และภาคปฏิบัติของศาสนาอื่นๆ มาปฏิบัติผสมกับวิถีของมุสลิมอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งการวางเสาเอกเสาโทเพื่อปลูกบ้านใหม่
มุสลิมบางกลุ่มบางคนก่อนวางเสาเอกลงหลุม ก็เชือดแพะแล้วโยนลงหลุมจากนั้นก็ยกเสาเอกลงหลุมตามทีหลัง โดยให้เหตุผลว่าหากเรื่องอะไรไม่ดีเข้าบ้าน แพะก็จะรับบาปไปโดยปริยาย
มุสลิมบางกลุ่มบางคนก็นำใบกล้วย หรือต้นกล้วยผูกไว้ที่เสาเอก เสมือนหนึ่งความเชื่อของชาวพุทธ จากนั้นก็เชิญโต๊ะอิมามโต๊ะละแบมาอ่านดุอาอ์ หรืออ่านอัลกุรฺอาน เพื่อทำพิธีกรรมเชิญเสาเอกเสาโทลงหลุม ทั้งนี้โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อเป็นสิริมงคล (บะเราะกะฮฺ) ในการสร้างบ้านหลังใหม่ โดยบางทีโต๊ะละแบเหล่านั้นก็จะอ่านดุอาอ์ขณะหย่อนเสาเอกลงหลุมว่า
“โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงประทานความจำเริญมายังเรา และมายังบ้านหลังนี้ (ของเรา) ด้วยเถิด”
จากนั้นเจ้าภาพก็จะเลี้ยงอาหารแก่โต๊ะละแบและแขกเหรื่อในลำดับต่อไป
จักเห็นได้ว่า มุสลิมที่กระทำแบบนั้น ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนัยความจริงอิสลามไม่มีความเชื่อ และพิธีกรรมใดเลยขณะจะปลูกบ้านใหม่ หรือแม้กระทั่งการลงเสาเข็ม หรือเสาเอกเสาโท ทว่ามุสลิมบางกลุ่มบางคนกลับไม่ยึดหลักการอิสลามอันบริสุทธิ์และสูงส่งมาปฏิบัติอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม แต่กลับไปนำความเชื่อของศาสนาอื่น นำพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาผสมปนเปกับวิถีของมุสลิมอย่างน่าอับอายที่สุด
การที่มุสลิมไปนำความเชื่อ หรือพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาปฏิบัติแม้ว่าจะไม่ทั้งหมดก็ตาม เท่ากับว่ามุสลิมผู้นั้นกำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่า เขาไม่ค่อยพอใจต่อคำสอนของอิสลามสักเท่าใดซึ่งมีพิธีกรรมทางศาสนาน้อยไปหน่อย หรือดูเหมือนว่าอิสลามไม่ค่อยมีพิธีกรรมอะไรที่เข้าสังคมอื่นได้ ไม่ค่อยเป็นสากล หรือไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของสังคมอื่นๆ เขาจึงต้องประดิษฐ์ หรือผสมผสานพิธีกรรม ความเชื่อของศาสนาอื่นมาปะปนแล้วอุตริขึ้นใหม่เพื่อทำให้เข้ากับสังคมอื่นได้ และเพื่อจะทำให้ศาสนิกอื่นเห็นว่า มุสลิมก็สามารถร่วมพิธีกรรม หรือกิจกรรมทางศาสนากับต่างศาสนิกได้ เป็นความสมานฉันท์ที่ลงตัว และอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่แปลกแยก
นั่นคือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ หากมุสลิมคนใดเข้าใจแบบนั้น อิสลามระบุชัดเจนว่า ศาสนาของใครเขาก็ปฏิบัติตามความเชื่อนั้น ส่วนมุสลิมก็ปฏิบัติไปตามความศรัทธาของมุสลิม นี่แหละคือความสมานฉันท์ เพราะความสมานฉันท์คือ ต่างคนต่างความเชื่อ ก็ให้ต่างคนต่างปฏิบัติไปตามความเชื่อของตนเอง โดยไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันต่างหาก
ฉะนั้นเมื่อได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม จำเป็นจักต้องปฏิบัติไปตามสิ่งที่ศาสนากำชับใช้เอาไว้เท่านั้น ซึ่งศาสนาไม่อนุญาตให้มุสลิมละทิ้ง หรือต่อเติมคำสอนของศาสนา และไม่อนุญาตเช่นกันที่จะไปยึดคำสอนของศาสนาอื่นมาปฏิบัติ, ไปยึดความเชื่อของศาสนาอื่นมาถือเชื่อ แม้ว่าความเชื่อ หรือการปฏิบัติตามศาสนาอื่นนั้นจะน้อยนิดสักปานใดก็ตาม
ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report
Present by Muslim Hot Report
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น