วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

"โยมมุสลิม นั่นศาสนาอาตมา" เชิญโต๊ะอิมามเจิมรถ

ศาสนาพุทธ
มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า “พุทธกับไสยอาศัยกัน” คำนี้หมายถึงความเกี่ยวพันกันระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ในประเพณีชาวไทย ซึ่งมีการสืบทอดปฏิบัติต่อๆ กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณจนถึงปัจจุบันเกิดความผสมกลมกลืน จนบางครั้งยากที่จะแยกแยะออก ว่าอันไหนคือพิธีของชาวพุทธและอย่างไหนคือพิธีของพราหมณ์
                ท่านผู้รู้เคยให้ข้อสังเกตไว้ดังนี้
                หากประเพณีการปฏิบัติในข้อใด กระทำตามพีธีสงฆ์ เช่นการไหว้พระสวดมนต์ การถวายทานไทยธรรม ฯลฯ เรียกว่า พิธีพุทธ
                หากประเพณีการปฏิบัติในข้อใด กระทำตามพิธีไสยศาสตร์ เช่น การประพรมน้ำมนต์ การเจิม หรือปลุกเสกวัตถุมงคล ฯลฯ เรียกว่า พิธีพราหมณ์
                ทั้งพิธีของพุทธและพราหมณ์ในปัจจุบันได้เข้ามาแทรกอยู่ในประเพณีของไทยอย่างกลมกลืน
ศาสนาอิสลาม
อิสลามประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าด้วยมุสลิมต้องยืนหยัดและยึดมั่นดำรงไว้ซึ่งการปฏิบัติตามหลักการของอิสลามเท่านั้น ไม่สามารถไปหยิบยืมแนวคิด หรือแสวงหาอุดมการณ์ของศาสนาอื่นมาปฏิบัติได้โดยเด็ดขาด ย้ำว่าโดยเด็ดขาด เพราะพระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า “และผู้ใดแสวงอื่นไปจากศาสนาอิสลาม ดังนั้นนั่นจะไม่ถูกรับจากเขา และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน”
                เมื่อเป็นเช่นนั้นมุสลิมจะแสวงหาแนวคิด การปฏิบัติอื่นจากอิสลามไม่ได้อย่างแน่นอน นี่คือ จุดเด่นของอิสลาม ที่แม้กระทั่งโลกตะวันตกยังปวดหัวกับแนวทางข้างต้น เพราะยิ่งมุสลิมปฏิบัติตามหลักการอิสลามมากเท่าใด ความเด่นชัดของอิสลามก็แผ่ไพศาลออกไปกว้างมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า อิสลามก็จะเป็นศาสนาเดียวที่ยังคงยึดมั่นแนวทางของตนเองโดยไม่ตามกระแสการเปลี่ยนไปของโลก
ประเพณีท้องถิ่นนิยม
แต่กลับแปลกที่มุสลิมบางกลุ่มที่เพิกเฉยจุดยืนข้างต้นอย่างน่าอัปยศที่สุด ละทิ้งอิสลามแล้วหันไปปฏิบัติตามแนวทางอื่นอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม ก็คิดดูสิ หากชายผู้หนึ่งประกาศก้องว่าตนเองเป็นชาย แต่ร่างกายเป็นหญิง เช่นนี้เราจะเรียกบุคคลนั้นว่า กะเทย เพราะชายก็ไม่ใช่ หญิงก็ไม่เชิง ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับบุคคลหนึ่งที่ประกาศว่าตนเองเป็นมุสลิม แต่กลับไปหยิบยืมความเชื่อ หรือกลักการของศาสนาอื่นมาปฏิบัติ แล้วเช่นนี้เราจะเรียกเขาผู้นั้นว่ากระไรดี? ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่นำเสนอข้างต้นที่ระบุว่า ศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์มักจะแยกแยะไม่ออก ผู้รู้จึงแยกแยะให้ว่า หากสิ่งใดกระทำตามพิธีสงฆ์ก็เป็น พิธีพุทธ ถ้าสิ่งใดที่กระทำพีธีไสยศาสตร์นั่นก็เรียกว่า พิธีพราหมณ์
                มุสลิมบางกลุ่มคงไม่ต่างจากคำนิยามข้างต้น เพราะบางครั้งมุสลิมบางกลุ่มก็ทำพิธีกรรมกลมกลืนกันกับพุทธและพราหมณ์เหมือนกันดั่งกรณีที่โต๊ะอิมาม หรือโต๊ะครูบางคนเจิมรถให้กับมุสลิมที่ซื้อรถป้ายแดง ถามว่า นั่นก็มาจากพิธีของศาสนาพราหมณ์ เพราะเป็นเรื่องไสยศาสตร์ว่าด้วยการเจิม ซึ่งชัดเจนมาก เพราะการเจิมเป็นเรื่องความเชื่อเรื่องโชคลาง ซึ่งหลักการอิสลามระบุอยู่ในข่ายการตั้งภาคี (ชิริก) แต่โต๊ะอิมาม โต๊ะครูบางคนกลับไม่สนใจใยดี ก้มหน้าก้มตาเจิมรถป้ายแดงอย่างหน้าตาเฉย โดยมีทั้งอ่านอัลกุรฺอานและอ่านดุอาอ์ที่แต่งขึ้นมาเอง พลางตั้งเจตนารมณ์ว่าบทสวดเหล่านั้นน่าจะเป็นบทสวดที่ทำให้รถป้ายแดงแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุนานัปการ
                สรุป เรื่องการเชิญโต๊ะอิมาม หรือโต๊ะครูบางคนมาทำพิธีเจิมรถป้ายแดง ไม่ปรากฏอยู่ในคำสอบของอิสลาม แต่กลับปรากฏอยู่ในพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์


ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2554 เวลา 00:59

    เขาคิดว่าการเจิมรถ อีหม่าม ช่วยเขาได้ มั้ง
    เขาแยกไม่ออกหรือว่ามันเป็นชีริก

    ตอบลบ
  2. หนูอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับการผูกหัวรถ ของิสลามอย่างละเอียดได้ม่ ว่าเป็นอย่างไง ละเกินอะไรขึ้นกับการผูกหัวรถ และวิธีการทำ และผลที่ได้ คือหนูจะเอามาทำรายงานคะ

    ตอบลบ