พระองค์อัลลอฮฺ ซบ. ทรงตรัสไว้ว่า “และสูเจ้าจงอยู่ร่วมกับพวกนาง (หมายถึงภรรยา) ด้วยดี”
อายะฮฺอัลกุรฺอานข้างต้นชี้ชัดว่า สามีที่มีความศรัทธาอันมั่นคงจะต้องอยู่ร่วมกับภรรยาบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมความดีเท่านั้น ที่ว่าความดี คือดีอย่างที่ศาสนาระบุว่าดี ทีนี้จะรู้ว่าได้อย่างไรว่า อะไรคือความงามระหว่างสามีภรรยา? สามี (มืออาชีพ) จำเป็นจะต้องศึกษาอิสลามก่อนการแต่งงาน หรือแม้กระทั่งแต่งงานแล้วก็ตาม กล่าวคือจะต้องศึกษาหน้าที่ในฐานะสามี จะต้องกระทำความดีต่อภรรยาอย่างไรบ้าง? โปรดอย่าลืมว่าทุกๆ หน้าที่นั้นจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ หน้าที่สามีก็จะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺเช่นกัน ดังนั้น สามี (มืออาชีพ) จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตนเองจะต้องสนใจศึกษาหลักการของศาสนา จะต้องแสดงพฤติกรรมขณะอยู่ร่วมกับภรรยา ด้วยคุณธรรมความดีเท่านั้น ท่านรสูลุลลอฮฺ ซล. กล่าวไว้ว่า “ดียิ่งในหมู่พวกท่าน, ดียิ่งในหมู่พวกท่าน คือ (บุคคลที่ทำความดี) ต่อครอบครัวของเขา”
ตัวอย่างหนึ่งที่ท่านรสูลุลลอฮฺ ซล. ระบุให้เห็นชัดว่าสามีจะต้องแสดงพฤติกรรมต่อภรรยาด้วยความสุภาพอ่อนโยน โดยหลีกเลี่ยงการแสดงความรุนแรง หรือแสดงอากัปกิริยาอันหยาบคาย ท่านรสูลุลลอฮฺ ซล. กล่าวว่า “บุคคลหนึ่งในหมู่พวกท่านจงอย่าเฆี่ยนตีภรรยาของเขา เฉกเช่นการเฆี่ยนตีทาส ภายหลังต่อมาเขาก็ร่วมหลับนอนกับนางในช่วงเย็น (ของวันนั้น)” จักเห็นได้ว่า อิสลามกำชับอย่างหนักแน่นให้หลีกเลี่ยงการให้ความรุนแรง หรือการใช้กำลังกับภรรยาของตนเองโดยเด็ดขาด การใช้ชีวิตคู่ระหว่างสามีภรรยาจะต้องใช้ความอ่อนโยนหรือการเอื้ออาทรเข้าหากัน ด้วยความอ่อนโยนของสามีนี่แหละคือเสน่ห์ของสามี คงไม่มีภรรยาคนใดชอบให้สามีของตนเองซ้อมเช้าซ้อมเย็นหรอก หากมี ภรรยาผู้นั้นก็คงเป็นโรคจิต หรือโรคชอบความรุนแรงมากกว่า ด้วยเหตุผลข้างต้น สามีมืออาชีพทุกคนจะต้องน้อมรับแนวทางแห่งความอ่อนโยนต่อภรรยาของตนโดยดุษฎีอย่างไม่มีเงื่อนไข
อีกสักตัวอย่างหนึ่งคงจะเห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ครั้งหนึ่งมีบุคคลหนึ่งไต่ถามท่านรสูลุลลอฮฺ ซล. เกี่ยวกับสิทธิของสามีที่ต่อภรรยาว่ามีสิ่งใดบ้าง? ท่านรสูล ซล. ก็ตอบว่า “ท่าน(คือสามี) จงให้อาหารแก่นาง(คือภรรยา) (เช่นเดียวกับ) ที่ท่านรับประทาน, ท่านจงให้เครื่องนุ่งห่มแก่นาง (เฉกเช่นเครื่องนุ่งห่ม) ที่ท่านสวมใส่และท่านอย่าตบให้หน้า(ภรรยา), ท่านจงอย่าถ่อยสถุล(ต่อภรรยา) และท่านจงอย่าหลบหนี(ภรรยาไปพำนักที่อื่น) ยกเว้นในบ้านเท่านั้น”
ศาสนาอิสลามเล็งเห็นถึงความสำคัญของสามีที่จะต้องมอบสิทธิให้แก่ภรรยาค่อนข้างเด่นชัดที่สุด โดยไม่ปล่อยให้สามีที่มิใช่มืออาชีพคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเรื่องที่ไม่ต้องให้ความสนใจ ในทางกลับกัน ศาสนาให้ความสนใจทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ กล่าวคือสามีจะต้องแสดงความรัก ความอ่อนโยนต่อภรรยาไม่แสดงอาการหยาบคาย, กักขฬะ หรือแม้แต่การแสดงในเชิงดูหมิ่นศักดิ์ศรีภรรยาก็ไม่ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนั้น ศาสนาจึงไม่อนุญาตให้สามีตบใบหน้าภรรยา (หรือทำร้ายร่างกายจนกระทั่งเลือดตกยางออก) โปรดตรองดูเถิด ใบหน้าของภรรยาที่ถูกทำร้ายจากสามีนางย่อมมีรอบฟอกช้ำ ครั้นนางเดินไปไหนมาไหนก็ต้องถูกชาวบ้านนินทาหรือวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนั่นจะนำมาซึ่งการเสื่อมเสียเกียรติของภรรยา (รวมถึงตัวของสามีด้วยเช่นกัน) หรือแม้กระทั่งการแสดงอากัปกิริยาอันถ่อยสถุล หรือกักขฬะต่อหน้าภรรยาก็ไม่อนุญาตเช่นกัน อาทิเช่น สามีถ่อมน้ำลายต่อหน้าภรรยาขณะที่ไม่พอใจนาง หรือการใช้วาจาที่หยาบคาย หรือวาจาผรุสวาท เป็นต้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสามีทะเลาะกับภรรยาถึงขั้นสามีโมโหอย่างสุดขีด ศาสนาก็ยังไม่อนุญาตให้สามีออกไปหลับนอนนอกบ้าน หรือปล่อยภรรยาให้อยู่บ้านตามลำพัง เพราะความหวาดกลัว และความเศร้าโศกเสียใจจะเข้ามาครอบงำภรรยาทันที ซึ่งการปล่อยให้สิ่งข้างต้นประสบกับภรรยาศาสนายังไม่อนุญาตให้สามีกระทำ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามี (มืออาชีพ) ทุกคนจะต้องจดจำให้แม่นยำว่า ต้องอ่อนโยนกับภรรยาของตนและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมใดๆ ที่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อจิตใจของภรรยาไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง, แสดงอาการหยาบคายต่อหน้าของภรรยา จำเป็นจะต้องขจัดให้หมดไปจากนิสัยของสามีมืออาชีพให้จงได้ และถ้ายังมีอยู่ในตัวตนของสามีทั้งหลาย ก็ต้องรีบขจัดออกไปโดยเร็วที่สุด
ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report
http://muslimhotreport.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น