อิสลามคือศาสนาแห่งการป้องกัน มีความละเอียดอ่อนโดยแท้ แม้กระทั่งคำสอนที่เกี่ยวข้องกับการต้อนรับแขกผู้มาเยือนก็ยังรัดกุมและรอบคอบ การอนุญาตให้ชายอื่น (ที่แต่งงานกับนางได้) เข้าบ้านในขณะที่นางอยู่คนเดียวโดยไม่มีสามีของนางอยู่ด้วยนั้น ย่อมทำให้เกิดฟิตนะฮฺ (ความเดือดร้อน, วุ่นวาย) โดยฟิตนะฮฺจะเกิดกับสตรีที่สามีของนางไม่อยู่ในบ้าน จะเกิดกับชายที่เข้าไปในบ้านของนางและก็จะเกิดกับสามีของนางอีกด้วย เพราะชาวบ้านหรือผู้พบเห็นจะคาดเดาและนอนทาไปต่างๆ นานา ซึ่งฟิตนะฮฺจะกระจายไปทุกหัวระแหงด้วยเหตุนี้แหละ อิสลามจึงป้องกันไว้ก่อนโดยห้ามภรรยาอนุญาตให้ชายอื่นเข้าบ้านใขณะที่สามีของนางไม่อยู่ ไม่ว่านางจะถูกหว่านล้อม หรือคะยั้นคะยอเพียงใด นางก็ต้องยืนกรานอย่างหนักแหน่นว่าไม่อนุญาตให้เข้าบ้าน ให้มาวันหลัง หรือฝากเบอร์โทรศัพท์ไว้ หากสามีกลับบ้านจะบอกให้เขาทราบ ทรานรสูลุลลอฮฺ ซล. กล่าวว่า “และภรรยาจะต้องไม่อนุญาตให้ (ชายใด) เข้าบ้านของสามี นอกจากจะได้รับอนุญาตจากสามีเสียก่อน”
ในขณะเดียวกัน ผู้ชายที่รู้ว่าสามีของนางไม่อยู่ในบ้านหลังนั้นโดยมารยาทแล้วจะต้องขอตัวกลับทันที ไม่ใช่คะยั้นคะยอเพื่อจะเข้าไปภายในบ้านของนางให้ได้ เห็นหรือไม่ว่าอิสลามคือศาสนาแห่งการป้องกันฟิตนะฮฺที่จะเกิดขึ้นในสังคมได้เป็นอย่างดี อิสลามมิได้สอนให้แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่จะสอนให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อิสลามสอนให้ออกห่างการทำซินา ไม่ใช่สอนว่าทำซินาแล้วจะแก้ไขอย่างไร? และสำหรับภรรยาระดับมืออาชีพแล้ว จะต้องตระหนักและรัดกุมในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสามีของตน วันแรกที่สตรีได้ชื่อว่าเป็นภรรยา นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้ตนเองเป็นภรรยาที่ดีของสามี หรือเป็นภรรยาตามนัยยะแห่งบัญญัติของพระเจ้า แต่ภรรยา (มืออาชีพ) ทุกคนย่อมบอกกับตนเองอยู่เสมอว่า แม้ว่าการเป็นภรรยาตามนัยยะของศาสนาจะยากเย็นเพียงใด แต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหากภรรยาทุกคนตั้งใจจริงพร้อมลงมือปฏิบติอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ขอบคุณเนื้อหา อาจารย์มุรีด ทิมะเสน
Present by Muslim Hot Report
http://muslimhotreport.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น